คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 678/2512

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ซึ่งเป็นนิติบุคคล ทำสัญญาจ้างจำเลยตัดฟันชักลากไม้และจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าให้จำเลยไปจำเลยผิดสัญญา องค์การเรียกให้จำเลยใช้เงินคืน จำเลยไม่ใช้ องค์การจึงฟ้อง สิทธิเรียกร้องในกรณีนี้ไม่ใช่เรื่องนายจ้างเรียกเอาเงินค่าจ้างอันตนได้จ่ายล่วงหน้าให้ไปจากบุคคลผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(8) ซึ่งมีอายุความ 2 ปีแต่อยู่ในอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 28/2511)
ผู้แทนนิติบุคคลซึ่งแสดงเจตนาฟ้องคดีและแต่งตั้งทนายแทนนิติบุคคลในนามนิติบุคคลเป็นโจทก์นั้นเมื่อได้ลงชื่อแต่งทนายให้ดำเนินคดีโดยชอบแล้ว ทนายก็มีอำนาจดำเนินคดีไปตลอดจนมีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาดังที่ปรากฏในใบแต่งทนายแม้ผู้แทนนิติบุคคลนั้นจะถึงแก่ความตายไปแล้วก็ดี หรือฟ้องฎีกาของโจทก์ยังคงใช้ชื่อผู้แทนนิติบุคคลซึ่งถึงแก่ความตายในหน้าฟ้องก็ดีไม่ทำให้ฎีกาของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญากับโจทก์ รับจ้างตัดฟันชักลากไม้หากผิดสัญญาจะต้องถูกปรับ และโจทก์มีสิทธิเรียกคืนเงินค่าจ้างที่จ่ายไปแล้ว และเรียกค่าเสียหายอีกทั้งดอกเบี้ยด้วย ในการนี้จำเลยได้จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้เป็นประกัน สัญญาสิ้นอายุแล้ว โจทก์จำเลยได้คิดบัญชีกันถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2499 จำเลยคงเป็นลูกหนี้โจทก์อยู่ 64,769.65 บาท ซึ่งแยกเป็น 2 ยอด คือเงินค่าจ้างล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย 17,599.39 บาท และเงินค่าปรับผิดสัญญา 47,170.26 บาท ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2502 จำเลยได้ตกลงเรื่องหนี้กับโจทก์โดยคิดดอกเบี้ยต่อจนถึงวันที่ 31 มกราคม 2502 เป็นหนี้ที่จะต้องชำระทั้งสิ้น 78,295.10 บาท จำเลยได้รับสภาพหนี้โดยขอผ่อนชำระภายใน 3 ปี โจทก์เห็นว่านานเกินสมควร จึงบอกกล่าวทวงถาม จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้จำนวนดังกล่าว พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันรับสภาพหนี้ถึงวันฟ้อง 30,969.47 บาท รวมเป็นเงิน 109,264.57 บาท และดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องจนชำระเสร็จ หากไม่ชำระ ขอให้บังคับจำนอง

จำเลยต่อสู้ปฏิเสธความรับผิด และว่าเอกสารท้ายฟ้องไม่ใช่หนังสือรับสภาพหนี้ คดีโจทก์ขาดอายุความ

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดตามสัญญา แม้ในเหตุสุดวิสัยเอกสารหมาย จ.13 เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ คดีโจทก์ยังไม่ขาดอายุความ พิพากษาให้จำเลยรับผิดใช้เงินพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามฟ้อง หากจำเลยไม่ชำระให้บังคับจำนองยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เงินที่โจทก์จ่ายล่วงหน้า มีอายุความ 2 ปี ส่วนเงินค่าปรับ มีอายุความ 10 ปี เอกสารหมาย จ.13 เป็นหนังสือรับสภาพหนี้แต่นับแต่วันรับสภาพหนี้ถึงวันฟ้องเป็นเวลา 5 ปีเศษ หนี้เงินที่โจทก์จ่ายล่วงหน้าจึงขาดอายุความ จำเลยต้องรับผิดในเงินค่าปรับตามสัญญา พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องหนี้เงินค่าจ้างล่วงหน้า คงให้จำเลยชำระหนี้ค่าปรับเพราะผิดสัญญาเป็นเงิน 47,170.25 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 22 สิงหาคม 2500 จนกว่าจะชำระเสร็จ

โจทก์ฝ่ายเดียวฎีกา มีปัญหาตามที่โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องของโจทก์ที่เรียกเงินค่าจ้างที่จ่ายล่วงหน้าให้จำเลย จำนวน 17,599.39 บาท นั้น ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 165(8) หรือไม่

ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้จ้างจำเลยตัดฟันชักลากไม้โดยจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าให้จำเลยไป จำเลยผิดสัญญาจ้าง โจทก์จึงมีหนังสือลงวันที่ 22 สิงหาคม 2500 เรียกให้จำเลยจ่ายเงินค่าจ้างล่วงหน้าคืน ต่อมาวันที่ 26 มกราคม 2502 จำเลยได้ลงชื่อในบันทึก จ.13 ขอผ่อนชำระหนี้รวมทั้งเงินค่าจ้างล่วงหน้า แล้วจำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2507

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า กรณีไม่ใช่เรื่องที่นายจ้างเรียกเอาเงินค่าจ้างอันตนได้จ่ายล่วงหน้าให้ไปจากบุคคลผู้รับจ้างใช้การงานส่วนบุคคลตามความหมายมาตรา 165(8) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สิทธิเรียกร้องของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับแห่งอายุความ 2 ปี ฉะนั้นแม้จะคิดจากวันที่ 10 สิงหาคม 2499 อันเป็นวันที่โจทก์จำเลยคิดบัญชีหนี้สินกัน ซึ่งต่อมาในวันที่ 26 มกราคม 2502 จำเลยได้ทำบันทึกยอมใช้เงินนี้ให้โจทก์ด้วยโดยไม่พิจารณาในปัญหาที่ว่า บันทึกยอมใช้เงิน จ.13 เป็นหนังสือรับสภาพหนี้ อันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่ก็ดี เมื่อคิดจนถึงวันฟ้องก็ยังไม่เกิน 10 ปี คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ส่วนเรื่องดอกเบี้ย จำเลยไม่ได้ยกอายุความขึ้นต่อสู้ จึงไม่วินิจฉัย

ที่จำเลยแก้ฎีกาว่า นายวิบูลย์ ธรรมบุตร ผู้อำนวยการองค์การโจทก์ตายแต่ปี 2508 การที่โจทก์ยังใช้นามบุคคลที่ตายมาเป็นผู้ดำเนินการตามกฎหมาย ย่อมไม่เกิดผล ฎีกาโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตัวโจทก์คดีนี้คือองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ซึ่งเป็นนิติบุคคลนายวิบูลย์ซึ่งเป็นผู้อำนวยการ เพียงแต่แสดงเจตนาฟ้องคดีนี้ตลอดจนแต่งตั้งทนายแทนองค์การเท่านั้น เมื่อได้ลงนามแต่งทนายให้ดำเนินคดีโดยชอบแล้ว ทนายก็มีอำนาจดำเนินคดีไปตลอดจนมีอำนาจใช้สิทธิในการอุทธรณ์ฎีกาดังที่ปรากฏในใบแต่งทนายนั้นแล้วการที่นายวิบูลย์ตายและฟ้องฎีกาของโจทก์ยังคงใช้นามนายวิบูลย์หน้าฟ้อง ไม่ทำให้ฎีกาของโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

อนึ่ง ศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาบังคับจำนองให้ตามคำขอของโจทก์เป็นการคลาดเคลื่อน

พิพากษาแก้ ให้จำเลยใช้เงินค่าจ้างที่รับล่วงหน้า พร้อมด้วยดอกเบี้ย จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหนี้ ก็ให้บังคับจำนอง

Share