คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6777/2553

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้โจทก์จะเป็นผู้ถือหุ้นแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ซึ่งเป็นตัวการกับโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทน ส่วนที่จำเลยมีเอกสารมาแสดงว่าห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เป็นผู้ชำระค่าหุ้นแทนโจทก์และผู้ถือหุ้นรายอื่นฝ่ายไทยนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างตัวการและตัวแทนเช่นเดียวกัน ทั้งอาจมีข้อต่อสู้กันระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. ก็ได้ว่าเงินที่ชำระไปนั้นเป็นการชำระค่าหุ้นในฐานะตัวการจริงหรือไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. เข้ามาเป็นจำเลยร่วม จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชีจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะไปยกข้อต่อสู้ระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. กับโจทก์เพื่อบอกปัดไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์มีหลักฐานการจดทะเบียนผู้ถือหุ้นมาแสดงว่าโจทก์มีหุ้นจำนวน 250 หุ้น ชำระราคาแล้วหุ้นละ 500 บาท อันเป็นเอกสารราชการในเบื้องต้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อความตามเอกสารดังกล่าวถูกต้อง จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชีต้องจ่ายเงินส่วนแบ่งให้แก่โจทก์ตามสิทธิอันพึงมีตามหุ้นดังกล่าว ส่วนความรับผิดระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. นั้น เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะไปว่ากล่าวกันเอง
เมื่อปรากฏว่า บ. ถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชีต้องจ่ายเงินตามสิทธิในหุ้นจำนวน 500 หุ้น ให้แก่กองมรดกของ บ. ตามหลักฐานผู้ถือหุ้นที่ปรากฏเช่นเดียวกับโจทก์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องโจทก์ว่า โจทก์ฟ้องในฐานะเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสกับ บ. ไม่ได้ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของ บ. จึงไม่อาจอ้างแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีได้ เพราะเป็นการกระทบกระเทือนต่อกองมรดกของ บ. เนื่องจากทายาทของ บ. อาจมีข้อต่อสู้กับโจทก์ได้ว่าเงินที่ บ. มีสิทธิได้รับนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับครึ่งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะไปว่ากล่าวเอาจากกองมรดกของ บ. เอง ไม่ใช่มาเรียกเอาจากผู้ชำระบัญชี ส่วนหุ้นที่ บ. เป็นผู้ถือหุ้นนั้น จะเป็นการถือแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. และห้างดังกล่าวเป็นผู้ออกเงินค่าหุ้นหรือไม่นั้น เป็นเรื่องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด ส. จะไปว่ากล่าวเอากับผู้จัดการมรดกหรือทายาทของ บ. เอง ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินครึ่งหนึ่งตามส่วนของหุ้นทั้งหมดที่ บ. ถือ คิดเป็น 250 หุ้น เป็นเงิน 369,235.95 บาท จากจำเลยได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวประกอบมาตรา 246 และ 247 ด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้ถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทสยาม แวน ซูเมอเรน จำกัด และตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชีแทน ให้จำเลยส่งมอบสรรพเอกสารของบริษัทสยาม แวน ซูเมอเรน จำกัด ที่ได้ชำระบัญชีและเลิกบริษัทให้แก่โจทก์ และให้บังคับจำเลยชดใช้เงิน 738,471.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2543 ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 110,315.10 บาท รวมเป็นเงิน 848,787 บาท และนับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทสยาม แวน ซูเมอเรน จำกัด และตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชีแทนจำเลย ให้จำเลยส่งมอบสรรพเอกสารในการเลิกและชำระบัญชีของบริษัทสยาม แวน ซูเมอเรน จำกัด แก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้เงิน 738,471.90 บาทพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง (วันที่ 17 กรกฎาคม 2545) ไม่ให้คิดคำนวณเกิน 110,315.10 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า คำขอของโจทก์ในส่วนที่เกี่ยวกับการถอนจำเลยออกจากการเป็นผู้ชำระบัญชีของบริษัทสยาม แวน ซูเมอเรน จำกัดและตั้งโจทก์เป็นผู้ชำระบัญชีแทน กับคำขอที่ให้จำเลยส่งมอบสรรพเอกสารในการเลิกและการชำระบัญชีของบริษัทสยาม แวน ซูเมอเรน จำกัด แก่โจทก์ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิได้รับเงินส่วนแบ่งในส่วนที่มีชื่อโจทก์เป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 250 หุ้นและส่วนที่นายบุณย์มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นจำนวน 500 หุ้น ได้ครึ่งหนึ่งจำนวน 250 หุ้นหรือไม่ สำหรับเงินส่วนแบ่งในฐานะโจทก์มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นนั้น เห็นว่า แม้โจทก์จะเป็นผู้ถือหุ้นแทนห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งตามข้อต่อสู้ของจำเลยก็ตาม แต่ก็เป็นเรื่องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งซึ่งเป็นตัวการกับโจทก์ซึ่งเป็นตัวแทน ส่วนที่จำเลยมีเอกสารมาแสดงว่า ห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งเป็นผู้ชำระค่าหุ้นแทนโจทก์และผู้ถือหุ้นรายอื่นฝ่ายไทยนั้น ก็เป็นเรื่องระหว่างตัวการและตัวแทนเช่นเดียวกัน ทั้งอาจมีข้อต่อสู้กันระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งก็ได้ว่า เงินที่ชำระไปนั้นเป็นการชำระค่าหุ้นในฐานะเป็นตัวการจริงหรือไม่ เมื่อจำเลยไม่ได้เรียกห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชีจึงไม่มีอำนาจหน้าที่ที่จะไปยกข้อต่อสู้ระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามนาวาขนส่งกับโจทก์เพื่อบอกปัดไม่ชำระเงินให้แก่โจทก์ได้ เมื่อโจทก์มีหลักฐานการจดทะเบียนผู้ถือหุ้นมาแสดงว่าโจทก์มีหุ้นจำนวน 250 หุ้น ชำระราคาแล้วหุ้นละ 500 บาท อันเป็นเอกสารราชการในเบื้องต้นให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าข้อความตามเอกสารดังกล่าวถูกต้อง จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชีต้องจ่ายเงินส่วนแบ่งให้แก่โจทก์ตามสิทธิอันพึงมีตามหุ้นดังกล่าว ส่วนความรับผิดระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งนั้น เป็นเรื่องที่ทั้งสองฝ่ายจะไปว่ากล่าวกันเอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินแก่โจทก์ในส่วนที่โจทก์มีสิทธิได้รับจำนวน 369,235.95 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2543 นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล
ส่วนเงินที่นายบุณย์มีสิทธิได้รับตามหุ้นจำนวน 500 หุ้นนั้น โจทก์เรียกมาครึ่งหนึ่ง เมื่อปรากฏว่านายบุณย์ถึงแก่กรรมแล้ว จำเลยในฐานะผู้ชำระบัญชีต้องจ่ายเงินตามสิทธิในหุ้นจำนวน 500 หุ้น ดังกล่าวให้แก่กองมรดกของนายบุณย์ตามหลักฐานผู้ถือหุ้นที่ปรากฏเช่นเดียวกับโจทก์ แต่เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องโจทก์ว่าโจทก์ฟ้องในฐานะเป็นภริยาที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสของนายบุณย์ ไม่ได้ฟ้องในฐานะผู้จัดการมรดกของนายบุณย์จึงไม่อาจอ้างแก่จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีได้ เพราะเป็นการกระทบกระเทือนต่อกองมรดกของนายบุณย์ เนื่องจากทายาทของนายบุณย์อาจมีข้อต่อสู้กับโจทก์ได้ว่าเงินที่นายบุณย์มีสิทธิได้รับนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับครึ่งหนึ่ง จึงเป็นเรื่องที่โจทก์จะไปว่ากล่าวเอาจากกองมรดกของนายบุณย์เอง ไม่ใช่มาเรียกเอาจากผู้ชำระบัญชีของบริษัท ส่วนหุ้นที่นายบุณย์เป็นผู้ถือนั้น จะเป็นการถือแทนห้างหุ้นส่วนจำกัด สยามนาวาขนส่งและห้างดังกล่าวเป็นผู้ออกเงินค่าหุ้นหรือไม่นั้น เป็นเรื่องระหว่างห้างหุ้นส่วนจำกัดสยามนาวาขนส่งจะไปว่ากล่าวเอากับผู้จัดการมรดกหรือทายาทของนายบุณย์เอง ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเงินครึ่งหนึ่งตามส่วนของหุ้นทั้งหมดที่นายบุณย์ถือคิดเป็น 250 หุ้น เป็นเงิน 369,235.95 บาท จากจำเลยได้ ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 247 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยให้จำเลยจ่ายเงินส่วนนี้แก่โจทก์ ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 369,235.95 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 20 กรกฎาคม 2543 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share