คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6772/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณาไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้องและไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อจำเลยมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นอุทธรณ์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้ามาทำกินและปลูกกระท่อมลงในที่ดินของโจทก์บางส่วน จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ก่อสร้างครอบครองทำประโยชน์มานานกว่า 20 ปี ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ 1 ครอบครอง ดังนี้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีประเด็นในเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 จำเลยทั้งสองจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นฎีกาที่นอกเหนือไปจากคำให้การที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและครอบครองที่ดิน น.ส. 3เลขที่ 612 โดยซื้อมาเมื่อวันที่ 16 มกราคม 2518 เมื่อเดือนธันวาคม 2528 จำเลยทั้งสองและบริวารได้บุกรุกเข้ามาทำกินและปลูกกระท่อมในที่ดินบางส่วนของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 16 ไร่โจทก์แจ้งให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดินจำเลยทั้งสองจึงขอซื้อที่ดินจากโจทก์ แต่ผัดผ่อนการชำระเงินเรื่อยมา โจทก์จึงบอกเลิกคำมั่นจะขายที่ดิน และให้จำเลยทั้งสองออกไปจากที่ดิน แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย โจทก์ได้รับความเสียหายจากการขาดประโยชน์ในการทำกินในที่ดินไม่น้อยกว่า 5,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินโจทก์และมิให้เกี่ยวข้องอีกต่อไป กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย 5,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ 2 ครอบครองทำประโยชน์อยู่ จำเลยที่ 1 เป็นบุตรของจำเลยที่ 2 อาศัยทำกินกับจำเลยที่ 2 ตลอดมาไม่มีที่ดินของตนเอง โจทก์มิได้ฟ้องขับไล่ภายใน 1 ปี นับแต่ที่จำเลยที่ 2ครอบครอง จึงไม่มีอำนาจฟ้องและที่ดินบริเวณที่จำเลยที่ 2ครอบครองทำประโยชน์อยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ค่าเสียหายในการขาดประโยชน์มีเพียง 1,000 บาท เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกจากที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ 612 และให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าเสียหาย 100 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า ที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติด้วยนั้น เห็นว่า จำเลยทั้งสองมิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ทั้งปัญหาว่าที่ดินพิพาทเป็นป่าสงวนแห่งชาติหรือไม่เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิสูจน์กันในทางพิจารณาไม่ใช่เรื่องอำนาจฟ้องและไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฎีกาของจำเลยทั้งสองในข้อนี้จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์หมดสิทธิฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองบุกรุกเข้ามาทำกินและปลูกกระท่อมลงในที่ดินของโจทก์บางส่วน จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า จำเลยที่ 2 ก่อสร้างครอบครองทำประโยชน์มานานกว่า 20 ปี ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินที่จำเลยที่ 1 ครอบครอง ดังนี้ตามคำให้การของจำเลยทั้งสองจึงไม่มีประเด็นในเรื่องแย่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 จำเลยทั้งสองจะยกปัญหาข้อนี้ขึ้นฎีกาไม่ได้ เพราะเป็นกรณีที่นอกเหนือไปจากคำให้การที่จำเลยให้การต่อสู้ไว้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share