คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6770/2554

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การขอขยายหรือย่นระยะเวลาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 15 จะกระทำได้ต่อเมื่อมีพฤติการณ์พิเศษและศาลได้มีคำสั่งหรือคู่ความมีคำขอขึ้นมาก่อนสิ้นระยะเวลานั้น เว้นแต่ในกรณีที่มีเหตุสุดวิสัย เมื่อคดีนี้ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและโจทก์ร่วมประสงค์จะให้อัยการสูงสุดรับรองให้ใช้สิทธิอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ โจทก์ร่วมชอบที่จะดำเนินการภายในระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ทันที แต่โจทก์ร่วมก็ไม่ได้ดำเนินการแต่อย่างใด เมื่อใกล้วันครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์โจทก์ร่วมกลับยื่นคำร้องให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น ภายหลังเมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อ้างว่า เพื่อจะดำเนินการขอให้อัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งเป็นความบกพร่องของโจทก์ร่วมเอง ถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 23 ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15
โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมและให้โอกาสโจทก์ร่วมได้ใช้สิทธิดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้อย่างเต็มที่นั้น เมื่อตามคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมอ้างเหตุเพื่อขอให้อัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง มิได้ขอให้ศาลใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ร่วมจึงเป็นข้อที่มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 แม้ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ร่วมในข้อนี้มาก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโดยอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2551
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2551 และวันที่ 25 ธันวาคม 2551 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 29 มกราคม 2552 ต่อมาวันที่ 28 มกราคม 2552 โจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์พร้อมคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษา ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง วันที่ 29 มกราคม 2552 ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และให้ส่งคำร้องพร้อมสำนวนไปให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นพิจารณาสั่งต่อไป ในวันเดียวกันโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์มีกำหนด 1 เดือน อ้างว่าเพื่อดำเนินการขอให้อัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งว่า เนื่องจากโจทก์ร่วมยื่นอุทธรณ์เข้ามาแล้วเมื่อวันที่ 28 มกราคม 2552 จึงไม่มีพฤติการณ์พิเศษที่จะขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ได้อีก ให้ยกคำร้อง
โจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงไม่จำต้องสั่งคำร้องนี้ ให้ยกคำร้อง
โจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์ร่วมฟังเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2551 และคดีต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ หากโจทก์ร่วมประสงค์จะใช้สิทธิอุทธรณ์ตามเงื่อนไขในมาตรา 193 ตรี โดยให้อัยการสูงสุดลงลายมือชื่อรับรองอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมแล้ว โจทก์ร่วมก็ชอบที่จะดำเนินการใช้สิทธิดังกล่าวให้ถูกต้องภายในกำหนดระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมขยายระยะเวลาอุทธรณ์ แต่ปรากฏว่าโจทก์ร่วมไม่ดำเนินการดังกล่าว และเมื่อใกล้วันครบกำหนดระยะเวลาอุทธรณ์โจทก์ร่วมก็ยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้น เมื่อผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง โจทก์ร่วมจึงขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์อ้างว่าเพื่อดำเนินการขอให้อัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง อันเป็นความบกพร่องของโจทก์ร่วมเอง กรณีของโจทก์ร่วมยังถือไม่ได้ว่ามีพฤติการณ์พิเศษที่จะขยายระยะเวลาอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 23 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ร่วมนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น ส่วนที่โจทก์ร่วมฎีกาขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปขยายระยะเวลาอุทธรณ์ให้โจทก์ร่วมเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและให้โอกาสแก่โจทก์ร่วมได้ใช้สิทธิในการดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้อย่างเต็มที่นั้น เห็นว่า ฎีกาของโจทก์ร่วมดังกล่าวเป็นฎีกาที่ขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย แต่ตามคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมอ้างเหตุเพื่อขอให้อัยการสูงสุดรับรองให้โจทก์ร่วมอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง มิได้ขอให้ศาลใช้อำนาจทั่วไปตามกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ร่วมที่ขอให้ศาลฎีกาใช้อำนาจทั่วไปขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 แม้ศาลชั้นต้นรับฎีกาของโจทก์ร่วมข้อนี้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน

Share