คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

อัยการศาลทหารเคยยื่นคำฟ้องจำเลยต่อศาลทหาร ศาลทหารเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลพลเรือน จึงพิพากษายกฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่ฟ้องนั้นแต่ประการใด ดังนี้ พนักงานอัยการย่อมนำคดีเดียวกันนั้นมาฟ้องจำเลยต่อศาลพลเรือนในวันเดียวกันนั้นอีกได้ไม่เป็นการฟ้องซ้ำหรือฟ้องซ้อน และเมื่อปรากฏว่าคดีในชั้นเดิมพนักงานสอบสวนเข้าใจผิดว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่ผู้ทำการสอบสวนนั้นก็คือนายตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาซึ่งกระทำไปตามอำนาจที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 48 วรรคแรกตอนท้ายนั่นเอง เมื่อพนักงานอัยการฟ้องคดีนี้ใหม่ต่อศาลพลเรือน จึงไม่จำเป็นต้องสอบสวนใหม่
จำเลยพยายามเอาของลับของตนใส่เข้าไปในของลับของเด็กหญิงอายุ 11 ขวบ นานราว 8 อึดใจก็ใส่ไม่เข้า เด็กหญิงนั้นรู้สึกเจ็บที่บริเวณของลับภายนอก และในครั้งต่อมาจำเลยเอาไข่ขาวทาของลับของจำเลยเสียก่อนแล้วจึงพยายามใส่เข้าไปในของลับของเด็กหญิงนั้น นานราว 6 อึดในก็ใส่ไม่เข้า การกระทำของจำเลยแต่ละครั้งเช่นนี้แสดงให้เห็นการกระทำและเจตนาของจำเลยว่าจำเลยได้ลงมือกระทำชำเราแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล มีความผิดตามมาตรา 277 ประกอบด้วย 80

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยได้กระทำชำเราเด็กหญิงสมบูรณ์ ไชยหงษ์ อายุ ๑๑ ปีและกระทำชำเราเด็กหญิงทองใบ บุญชู อายุ ๑๑ ปี จนสำเร็จความใคร่รวม ๑๔ ครั้ง โดยเด็กหญิงทั้งสองยินยอมให้จำเลยกระทำชำเรา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๗ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๕ ข้อ ๗
จำเลยให้การว่าจำเลยเพียงกระทำอนาจารเท่านั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ ให้จำคุกกระทงละ ๒ ปี ๘ เดือน รวม ๑๔ กระทงเป็นโทษจำคุก ๓๗ ปี ๔ เดือน คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้กระทงละ ๑ ใน ๓ คงจำคุกจำเลย ๒๔ ปี ๑๐ เดือน ๒๐ วัน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ลงโทษจำคุกจำเลยฐานพยายามกระทำชำเรา ๑ กระทง ๒ ปี และฐานกระทำอนาจาร ๑๓ กระทง กระทงละ ๓ เดือน รวม ๓ ปี ๓ เดือน รวมทั้งสิ้นจำคุก ๕ ปี ๓ เดือน จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้ ๑ ใน ๓ คงจำคุกจำเลย ๓ ปี ๖ เดือน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานพยายามข่มขืนกระทำชำเรารวม ๑๔ กระทง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าฟ้องโจทก์เป็นฟ้องซ้ำและฟ้องซ้อน โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่มีการสอบสวนคดีใหม่นั้น ข้อเท็จจริงได้ความว่า คดีนี้เดิมพนักงานอัยการศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (พนักงานอัยการจังหวัดขอนแก่น) ได้ฟ้องจำเลยต่อศาลทหารมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่น) แต่ศาลมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ได้พิพากษายกฟ้อง เพราะเห็นว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจศาลทหาร โจทก์จึงได้ยื่นฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดขอนแก่นในวันที่ศาลทหารมีคำพิพากษานั้นเอง ดังนี้เมื่อปรากฏว่าศาลทหารมณฑลทหารบกที่ ๓ (ศาลจังหวัดขอนแก่น) ยกฟ้องโตยเหตุที่คดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจของศาลทหารที่จะวินิจฉัย ศาลทหารดังกล่าวนั้นมิได้วินิจฉัยถึงความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้แต่ประการใด จึงไม่ใช่เป็นเรื่องฟ้องซ้ำทั้งกรณีมิใช่เป็นเรื่องฟ้องซ้อน เพราะขณะยื่นฟ้อง คดีมีได้ค้างพิจารณาอยู่ในศาลและปรากฏว่า แม้คดีในชั้นเดิมพนักงานสอบสวนจะเข้าใจผิดว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจศาลทหาร แต่เมื่อผู้ทำการสอบสวนก็คือนายตำรวจซึ่งเป็นพนักงานสอบสวน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากระทำไปตามอำนาจดังที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.๒๔๙๘ มาตรา ๔๗ วรรคแรกตอนท้ายเมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องต่อศาลพลเรือน จึงไม่จำต้องสอบสวนใหม่
ส่วนที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยควรต้องโทษฐานพยายามกระทำชำเรารวม ๑๔ กระทง ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และจำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องเพราะไม่มีเจตนาจะข่มขืนกระทำชำเรานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์และคำรับของจำเลยต่อศาลแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยพยายามกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองรวม ๓ ครั้ง ครั้งแรกจำเลยพยายามเอาของลับของจำเลยใส่เข้าไปในของลับของเด็กหญิงสมบูรณ์ ไชยหงษ์ ผู้เสียหาย แต่ไม่สามารถจะเข้าไปได้ อีกสองครั้งต่อมาจำเลยได้เอาไข่เป็ดทุบให้แตกแล้วเอาไข่ขาวทาที่ของลับของจำเลยก่อนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองคน แต่ก็ไม่สำเร็จอีก ดังนี้ย่อมเห็นการกระทำและเจตนาของจำเลยได้ชัดเจนว่า จำเลยได้ลงมือกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองคนแล้ว แต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเราตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ ประกอบด้วยมาตรา ๘๐ รวม ๓ กระทงด้วยกัน ส่วนที่จำเลยกระทำต่อผู้เสียหายทั้งสองอีกรวม ๑๑ ครั้งนั้น ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยเพียงแต่กระทำอนาจารผู้เสียหายทั้งสองเท่านั้น
พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยมีความผิดฐานพยายามกระทำชำเรา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ ตามที่ได้แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๗ ประกอบกับมาตรา ๘๐ รวม ๓ กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษกระทงละ ๒ ปี ๘ เดือน รวม ๘ ปี ตามมาตรา ๙๑ ตามที่แก้โดยประกาศของคณะปฏิวัติ และมีความผิดฐานกระทำอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๙ อีกรวม ๑๑ กระทง ให้เรียงกระทงลงโทษกระทงละ ๓ เดือน รวม ๒ ปี ๙ เดือน รวมเป็นโทษจำคุกทั้งสิ้น ๑๐ ปี ๙ เดือน จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลย ๗ ปี ๒ เดือน

Share