แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินที่ถูกน้ำเซาะพัง+เปลี่ยนสภาพกลาย+ทางน้ำแล้ว ก็จะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน+คลังผู้ใดจะได้กรรมสิทธิ+นั้นก็ต้องเป็นไปตาม+ว่าด้วยการได้มาแห่ง+สิทธิ
+เพียงแต่ตลิ่งพังทลายลง+ไปชั่วคราวอาจยังไม่พอถือว่าตรงนั้นเป็นทางน้ำ+ต้องฟังข้อเท็จจริงให้+ว่าที่ดินที่พังลงไปนั้นทางน้ำมาแล้วหรือไม่
ย่อยาว
ได้ความว่าที่ดินของโจทก์ ถูกน้ำเซาะพังจนหมดที่ดินตอนเหนือ ที่ดินของจำเลยก็พังเข้าไปจนถึงทางสาธารณะ ต่อมากระแสร์น้ำเปลี่ยนทางเดิน ที่ดินโจทก์จำเลยกลับงอกขึ้นเต็มตามเดิม โจทก์ว่าที่งอกเป็นที่ดินของโจทก์ ซึ่งเดิมเป็นที่ในโฉนดของโจทก์ จำเลยว่าเป็นที่ดินของจำเลย เพราะเป็นที่งอกริมตลิ่งของจำเลย
ศาลชั้นต้นเห็นว่า เมื่อที่ดินของโจทก์ถูกน้ำพัดพังกรรมสิทธิของโจทก์ก็สลายไป ที่งอกขึ้นมาอีกต้องถือว่าเป็นที่ดินอีกแปลงหนึ่ง โจทก์จะถือเอากรรมสิทธิ์เดิมไม่ได้ ที่รายนี้งอกหน้าที่ดินจำเลย ๆ เป็นเจ้าของตาม ป.พ.พ.มาตรา ๑๓๐๘ จึงพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์, ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่วิวาทเปลี่ยนสภาพกลายเป็นทางน้ำแล้วก็จะเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน ภายหลังผู้ใดจะได้กรรมสิทธิที่ตรงกัน ก็ต้องเป็นไปตาม ก.ม.ว่าด้วยการได้มาแห่งกรรมสิทธิ์ แต่ควรจะฟังว่าที่พิพาทเคยเป็นทางน้ำมาแล้วหรือไม่นั้น เป็นข้อเท็จจริงที่จะต้องพิจารณาจากแง่แห่งข้อเท็จจริงหลายประการ เพียงแต่ตลิ่งพังทลายลงแม่น้ำชั่วคราว และยังอยู่ในความครอบครองของเจ้าของ อาจยังไม่พอที่จะถือว่าตรงนั้นเป็นทางน้ำก็ได้ ที่ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงเพียงเท่าที่คู่ความแถลงไว้ ยังมิได้ฟังคำพะยายในข้ออื่น ๆ ข้อเท็จจริงจึงยังไม่กระจ่างแจ่มใส จึงพิพากษาให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินการพิจารณาต่อไปให้เต็มประเด็น แล้วพิพากษาใหม่