แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในการที่ไฟไหม้อาคารและทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย จึงไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์ก็หามีผลให้จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวไม่เพราะเป็นการรับสภาพหนี้โดยปราศจากมูลหนี้ที่จะให้รับสภาพหนี้จึงไม่มีผลบังคับแก่กันได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 1,807,470.90 บาทตามหนังสือรับสภาพหนี้ที่ ส. ทำละเมิดต่อโจทก์ให้แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำละเมิด หนังสือรับสภาพหนี้ที่จำเลยทำให้โจทก์ไม่มีผลผูกพันจำเลย พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เหตุเพลิงไหม้มิใช่เป็นผลเกิดขึ้นจากการที่จำเลยกลับไปบ้านพักไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ แต่เกิดจากการที่นายสมศักดิ์บุคคลวิกลจริตได้จุดไฟเผาแม้จำเลยอยู่ปฏิบัติหน้าที่ก็คงต้องเกิดเหตุ จำเลยไม่ต้องร่วมรับผิดฐานละเมิด และไม่ต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยรับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนในพระองค์ ตำแหน่งเจ้าหน้าที่งานในพระองค์ระดับ 1 แผนกศุภรัต กองพระราชพิธีสังกัดโจทก์ จำเลยได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้ปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าเวรรักษาราชการของแผนกศุภรัตซึ่งอยู่ภายในพระบรมมหาราชวังระหว่างเวลา 8 นาฬิกา ของวันที่ 2 กรกฎาคม 2532 ถึงเวลา 9 นาฬิกาของวันที่ 3 กรกฎาคม 2532 ในวันที่ 2 กรกฎาคม 2532 เวลาประมาณ 21 นาฬิกา จำเลยกลับไปรับประทานอาหารที่บ้านพักซึ่งอยู่ท้ายวังในพระบรมมหาราชวัง แล้วไม่ได้กลับไปปฏิบัติหน้าที่หัวหน้าเวรรักษาราชการดังกล่าว ต่อมาเวลาประมาณ 1 นาฬิกา ของวันที่ 3 กรกฎาคม 2532 นายสมศักดิ์ เครือแสง ซึ่งเป็นบุคคลวิกลจริตที่นายสุชิต จั่วแจ่มใส พนักงานขับรถยนต์ประจำแผนกศุภรัตนำมาพักอาศัยอยู่ด้วยจุดไฟเผาเพิงพักอาศัยของนายสุชิต ซึ่งอยู่ติดกับอาคารแผนกศุภรัต ทำให้ไฟลุกลามไปไหม้อาคารแผนกศุภรัตซึ่งเป็นอาคารไม้เก่าอย่างรวดเร็วไม่สามารถดับได้ เป็นเหตุให้อาคารและทรัพย์สินของโจทก์เสียหายเป็นเงิน 1,381,410 บาท ต่อมาวันที่ 19 มกราคม 2536 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.13 ให้ไว้แก่โจทก์ยอมใช้เงินจำนวน 1,381,410 บาท ให้แก่โจทก์ โดยขอผ่อนชำระหนี้เดือนละ1,000 บาท แต่หลังจากนั้นจำเลยก็ไม่ได้ชำระเงินให้โจทก์เลย
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า จำเลยต้องรับผิดใช้เงินให้แก่โจทก์ตามหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.13 หรือไม่ ในปัญหานี้เห็นว่าที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าเหตุเพลิงไหม้มิใช่เป็นผลเกิดขึ้นจากการที่จำเลยกลับไปบ้านพักไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ แต่เกิดจากการที่นายสมศักดิ์บุคคลวิกลจริตได้จุดไฟเผาแม้จำเลยอยู่ปฏิบัติหน้าที่ก็คงต้องเกิดเหตุ จำเลยจึงไม่ต้องร่วมรับผิดฐานละเมิดนั้นโจทก์มิได้ฎีกาคัดค้านว่าจำเลยได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงฟังได้เป็นยุติว่าจำเลยมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ในการที่ไฟไหม้อาคารและทรัพย์สินของโจทก์เสียหาย การที่ไฟไหม้อาคารและทรัพย์สินของโจทก์เสียหายเช่นนั้นจึงไม่ก่อให้เกิดหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์แต่อย่างใด ดังนั้นแม้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้เอกสารหมาย จ.13 ให้แก่โจทก์ ก็หามีผลให้จำเลยต้องรับผิดตามหนังสือรับสภาพหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์ไม่เพราะกรณีเช่นนี้เป็นการรับสภาพหนี้โดยปราศจากมูลหนี้ที่จะให้รับสภาพหนี้ เนื่องจากโจทก์และจำเลยไม่มีมูลหนี้ต่อกันจึงไม่มีผลบังคับแก่กันได้ ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 484/2516 คดีระหว่างบริษัทส่งเสริมเศรษฐกิจแห่งชาติ จำกัดโดยนายฉลอง ปึงตระกูล และพลจัตวาทรงพล เสนีวงศ์ ณ อยุธยาผู้ชำระบัญชี โจทก์ห้างหุ้นส่วนจำกัดสหสากลน้ำมัน โดยนางสุวรรณี พัวไพโรจน์ ผู้ชำระบัญชี กับพวกจำเลยที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน