แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เพียงแต่สัญญาจะทำการสมรส แต่ไม่มีของหมั้นจะฟ้องเรียกค่าทดแทนถานผิดสัญญาไม่ได้
ย่อยาว
กรนีมีว่าจำเลยที่ ๑ ได้ไห้จำเลยที่ ๒ ทำการหมั้นนางสาวฉนำบุตรโจทกับนายควนบุตรจำเลยที่ ๑  ต่อมาจำเลยบอกเลิกการหมั้นโจนจึงฟ้องเรียกค่าทดแทนไนการผิดสัญญาหมั้นจากจำเลย  ไนวันที่ ๒ สถานคู่ความทั้งสองฝ่ายรับกันว่า  เปนแต่พูดตกลงว่าจะสมรสหามีการสอบของหมั้นแต่หย่างไดไม่
สาลชั้นต้นเห็นว่าการหมั้นตามประมวนกดหมายแพ่งและพานิชตามมาตรา ๑๔๓๖ ถึง ๑๔๔๔ นั้น  ชายจะต้องมอบของหมั้นไห้แก่หยิง  แต่คดีนี้ หาได้มอบของหมั้นไห้แก่หยิงไม่  จึงเรียกค่าทดแทนตามมาตรา ๑๔๓๙ ไม่ได้  พิพากสายกฟ้อง
สาลอุธรน์เห็นว่า  ไม่มีกดหมายมาตราไดบังคับว่าการหมั้นจะต้องมีสิ่งของมอบไห้แก่กันคำว่า  “หมั้น” เปนแต่คำบ่งชื่อสัญญาว่าเนปสัญญาประเภทไหน  สัญญาตกลงจะทำการสมรสมีผลเหมือนสัญญาธัมดา  ถ้าทีของหมั้นก็มีผลเหมือนได้วางมัดจำกันอีกหนึ่งหย่างเดียวกับสัญญาอื่น ๆ จึงพิพากสาไห้สาลชั้นต้นพิจารนาพิพากสาไหม่
จำเลยดีกา สาลดีกาเห็นว่าประมวนกดหมายแพ่งและพานิชบัพ ๕ ไม่ได้อธิบายไว้ว่าการหมั้นต้องทำหย่างไร  เปนแต่กล่าวว่าจะหมั้นได้เมื่อชายหยิงอายุเท่าได  ของหมั้นคืออะไรถ้าทีการผิดสัญญาหมั้นจะปติบัติหย่างไร  จึงเปนอันเข้าไจได้ว่าคำว่า  หมั้น นี้มีความหมายหย่างที่เข้าไจกันตามธัมดาและโดยเหตุที่เปนที่เข้าไจกันหยู่แล้วนี่เอง  กดหมายจึงมิได้อธิบายไว้และตามกดหมายลักสนะผัวเมีย  แม้จะไม่มีคำว่าของหมั้นก็มีคำว่าขันหมากหมั้น  สแดงไห้เห็นว่า  การหมั้นต้องมีสิ่งของนำไปไห้ฝ่ายหยิง  เปนประเพนีมาตั้งแต่โบรานฉนั้นคำว่าการหมั้นไนประมวนกดหมายแพ่งและพานิชบัพ ๕ จึงต้องเข้าไจว่าหมายถึงการที่ฝ่ายขอยนำของหมั้นไปไห้แก่ฝ่ายหยิง  เพื่อเปนหลักถานว่าขายจะสมรสด้วยและฝ่ายหยิงได้รับของหมั้นนั้นไว้ประมวนกดหมายแพ่งและพานิชบัพ ๕ พูดถึงการหมั้นและมีข้อบัญญัติไนมาตรา ๑๔๓๘ ว่าเมื่อมีการหมั้นแล้ว  ถ้าฝ่ายไดผิดสัญญาหมั้น  ฝ่ายนั้นต้องรับผิดไช่ค่าทดแทน  เมื่อพิเคราะห์ความข้อนี้ประกอบกับทำเนียมประเพนีซึ่งเปนทีมาแห่งกดหมายส่วนนี้และสัญญาหมั้นเปนสัญญาพิเสสผิดกับสัญญาธัมดาแล้ว  ก็ต้องเข้าไจว่าถ้าเปนแต่ตกลงกันว่าจะสมรสเฉย ๆ โดยไม่มีของหมั้นหากมีการผิดสัญญาจะเรียกค่าทดแทนกันหาได้ไม่จึงพิพากสากลับคำพิพากสาสาลอุธรน์บังคับคดีตามคำพิพากสาสาลชั้นต้น

