คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6758/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยต่างมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์เป็นหลักฐานแสดงสิทธิสำหรับที่ดินของตนโดยเจ้าพนักงานออกให้ในวันเดียวกัน โจทก์จำเลยต่างนำชี้เขตที่ดินพิพาทไม่ตรงกับรูปแผนที่ดินและเนื้อที่ดินใน น.ส.3 ก. ของตน รวมทั้งแผนที่ระวางรูปถ่ายทางอากาศ เมื่อแผนที่ที่ดินพิพาททำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตรงตามแผนที่ระวางรูปถ่ายทางอากาศและแผนที่ที่ดินใน น.ส.3 ก. ของโจทก์จำเลย จึงไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าที่ดินพิพาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้เขตที่ดินทับกันอยู่ในเขตที่ดินของฝ่ายใดกันแน่ เมื่อพยานหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใดเนื่องจากที่ดินอยู่ติดกัน และมีการชี้เขตที่ดินของตนสับสนเกินเลยเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่ง และไม่อาจชี้ขาดได้ว่าฝ่ายใดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เนื้อที่เท่าไร จึงต้องฟังว่าทั้งสองฝ่ายต่างได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาด้วยกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าฝ่ายใดครอบครองไว้เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องฟังว่าโจทก์จำเลยต่างมีสิทธิในที่ดินพิพาทเท่า ๆ กัน และเมื่อไม่อาจครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกันได้ก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.)เลขที่ 1928 เนื้อที่ 21 ไร่เศษ เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2535 จำเลยและบริวารเข้าปลูกต้นยางพาราและต้นข้าวลงในที่ดินแปลงดังกล่าว เนื้อที่ 13 ไร่ 10 ตารางวา ขอให้บังคับจำเลยและบริวารออกจากที่ดินของโจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยบุกรุกเข้าไปในที่ดินโจทก์ แต่ได้ปลูกต้นยางพาราและต้นข้าวลงในที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1914ของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินพิพาท

จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุอันควรอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ โจทก์และจำเลยต่างมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เอกสารหมายจ.2 และ ล.1 เป็นหลักฐานแสดงสิทธิสำหรับที่ดินของตน แต่โจทก์จำเลยนำชี้เขตที่ดินพิพาทไม่ตรงกับรูปแผนที่ดินและเนื้อที่ดินใน น.ส.3 ก. ของตน และแผนที่ระวางรูปถ่ายทางอากาศเอกสารหมาย ล.2 ดังนั้น แผนที่ที่พิพาทจึงทำขึ้นโดยไม่ถูกต้องตรงตามแผนที่ระวางรูปถ่ายทางอากาศและแผนที่ที่ดินใน น.ส.3 ก. ของโจทก์จำเลยไม่อาจวินิจฉัยได้ว่าที่ดินพิพาทตามที่โจทก์จำเลยนำชี้เขตที่ดินทับกันอยู่ในเขตที่ดิน น.ส.3 ก. ของฝ่ายใดกันแน่ คดีนี้โจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าปลูกพืชผลในที่ดินมี น.ส.3 ก. ของโจทก์เป็นหลักฐาน จำเลยต่อสู้ว่าไม่ได้บุกรุกแต่เป็นที่ดินของจำเลย แล้วทั้งโจทก์จำเลยนำชี้เขตที่ดินทับกันว่าเป็นที่ดินพิพาทมีเนื้อที่ 13 ไร่เศษ แต่พยานที่ทั้งสองฝ่ายนำสืบไม่ได้ความแน่ชัดว่าฝ่ายใดเป็นผู้ครอบครองที่ดินพิพาทมานานเท่าใด เนื่องจากที่ดินมี น.ส.3 ก.ของโจทก์จำเลยอยู่ติดกัน จึงอาจเป็นไปได้ที่มีการชี้เขตที่ดินของตนสับสนเกินเลยเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่ง เมื่อทั้งสองฝ่ายมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเนื้อที่ดินโดยไม่อาจชี้ขาดได้ว่าฝ่ายใดรุกล้ำเข้าไปในที่ดินของอีกฝ่ายหนึ่งหรือไม่ เนื้อที่เท่าไร จึงควรฟังว่า ทั้งสองฝ่ายต่างได้ครอบครองที่ดินพิพาทมาด้วยกัน เมื่อทางพิจารณาไม่ปรากฏว่าฝ่ายใดครอบครองไว้เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องฟังว่า โจทก์จำเลยต่างมีสิทธิในที่ดินพิพาทเท่า ๆ กันเมื่อไม่อาจครอบครองที่ดินพิพาทร่วมกันได้ก็ต้องแบ่งกันคนละครึ่ง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทเนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน 45 ตารางวาให้ได้คนละส่วนเท่ากัน ส่วนของใครอยู่ตรงไหนแล้วจะตกลงกัน ถ้าตกลงกันไม่ได้ให้ขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งกันตามส่วน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share