แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เหล็กแทงรังนก เชือก และถุงกระสอบที่คนร้ายใช้เป็นอุปกรณ์ในการร่วมกันเข้าไปเก็บรังนกอีแอ่นในเขตสัมปทานโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิดซึ่งเห็นสมควรให้ริบ ส่วนรังนกอีแอ่นของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งเก็บโดยไม่ได้รับสัมปทานจากคณะกรรมการ จึงเป็นทรัพย์สินซึ่งได้มาโดยฝ่าฝืน พ.ร.บ.อากรรังนกอีแอ่นฯ มาตรา 14 วรรหนึ่ง สมควรให้ริบเสียด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2542 ระหว่างเวลากลางคืนก่อนเที่ยงถึงเวลากลางวัน เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยทั้งห้าขึ้นไปบนเกาะเทวดา ซึ่งเป็นเกาะที่นกอีแอ่นทำรังอยู่ตามธรรมชาติ และเป็นเขตสัมปทานของบริษัทรังนกแหลมทอง (สยาม) จำกัด และร่วมกันเก็บรังนกอีแอ่นด้วยการใช้เหล็กแทงรังนกอีแอ่นซึ่งติดอยู่ที่ผนังถ้ำถุ้งเตี้ยน้อยบนเกาะเทวดาดังกล่าวให้หลุดออกจากผนังถ้ำ จำนวน 60 รัง อันเป็นการกระทำอันอาจเป็นอันตรายแก่นกอีแอ่น ไข่ของนกอีแอ่น หรือรังนกอีแอ่น และอาจเป็นเหตุให้นกอีแอ่นละที่อยู่อาศัยไปจากเกาะเทวดาได้ ทั้งนี้ จำเลยทั้งหาไม่ได้รับสัมปทานจากคณะกรรมการพิจารณาจัดเก็บอากรรังนกอีแอ่น แล้วจำเลยทั้งห้าร่วมกันมีไว้ในครอบครองซึ่งรังนกอีแอ่นจำนวนดังกล่าว โดยรู้ว่าเป็นรังนกที่เก็บมาโดยฝ่าฝืนต่อกฎหมาย ตามวันเวลาดังกล่าว เจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งห้าได้พร้อมยึดรังนกอีแอ่นชนิดสีดำ จำนวน 60 รัง บรรจุอยู่ในถุงกระสอบที่มัดปากถุงไว้แล้ว จำนวน 1 ใบ เชือกยาวประมาณ 50 เมตร จำนวน 1 เส้น บรรจุอยู่ในถุงกระสอบจำนวน 1 ใบ และเหล็กแทงรังนก จำนวน 2 อัน ที่จำเลยทั้งห้าได้มาและใช้ในการกระทำความผิดดังกล่าวเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ.2540 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 25 วรรคหนึ่ง, 26, 28, 31 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 90 และให้ริบของกลาง
จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ.2540 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 25 วรรคหนึ่ง, 26, 28, 31 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งห้าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตและทำอันตรายแก่นกอีแอ่น เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ซึ่งมีโทษเท่ากัน ลงโทษฐานร่วมกันเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี ฐานร่วมกันมีรังนกอีแอ่นไว้ในครอบครองโดยรู้ว่าเป็นรังนกที่ได้มาโดยการกระทำผิดกฎหมาย จำคุกคนละ 1 ปี รวมจำคุกคนละ 3 ปี จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกคนละ 2 ปี ริบของกลาง
จำเลยทั้งห้าอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งห้ามีความผิดตามพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ.2540 มาตรา 14 วรรคหนึ่ง, 25 วรรคหนึ่ง, 26, 28, 31 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ความผิดฐานร่วมกันเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาต และฐานกระทำอันตรายแก่นกอีแอ่นเป็นบทหนักซึ่งมีโทษเท่ากัน จึงให้ลงโทษฐานร่วมกันเก็บรังนกอีแอ่นโดยไม่ได้รับอนุญาตแต่เพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 2 ปี จำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้คนละหนึ่งในสาม คงจำคุกคนละ 1 ปี 4 เดือน รังนกอีแอ่นของกลางไม่ริบ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้วข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยทั้งห้าได้ขึ้นไปบนเกาะเทวดา และเข้าไปหลบซ่อนอยู่ในถ้ำถุ้งเตี้ยน้อยซึ่งเป็นเกาะที่มีนกอีแอ่นทำรังอยู่ตามธรรมชาติอันเป็นเขตหวงห้าม และอยู่ในเขตที่บริษัทรังนกแหลมทอง (สยาม) จำกัด ได้รับอนุญาตให้เก็บรังนกอีแอ่น นายหมวดตรีฉัตรชัย โคมหอม หัวหน้าชุดพิทักษ์และดูแลคุ้มครองนกอีแอ่นหมวดกองร้อย อส. จ. พท. ที่ 1 อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง พร้อมพวกได้จับกุมจำเลยทั้งห้าพร้อมยึดรังนกอีแอ่นชนิดสีดำ จำนวน 60 รัง ที่มีคนร้ายลักลอบเก็บไม่ได้รับอนุญาตจากบริษัทดังกล่าว พร้อมเหล็กแทงรังนก เชือกและถุงกระสอบเป็นของกลาง ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 มีว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 เป็นคนร้ายร่วมกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่โจทก์มีนายลือชัย เพ็งสุวรรณ นายหมวดตรีฉัตรชัย โคมหอม และนายหยุ้ง ขุนศรี เป็นพยานโดยนายหยุ้ง เบิกความว่า บริษัทรังนกแหลมทอง (สยาม) จำกัด ได้รับสัมปทานให้เก็บรังนกอีแอ่นบริเวณหมู่เกาะสี่และเกาะห้า ซึ่งประกอบด้วยเกาะรูสิบ เกาะเทวดา และเกาะอื่น ๆ อีกหลายเกาะในเขตหมู่ที่ 3 ตำบลเกาะหมาก อำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ตามสำเนาสัญญาต่ออายุสัญญาอนุญาตเก็บรังนกอีแอ่น พยานทำงานในตำแหน่งผู้จัดการคนงานของบริษัทดังกล่าว ในช่วงเวลาเกิดเหตุคดีนี้ทางจังหวัดพัทลุงได้จัดอาสาสมัครรักษาดินแดนให้เข้าไปดูแลรักษาความสงบบริเวณหมู่เกาะที่บริษัทได้รับสัมปทานดังกล่าว นายลือชัยเบิกความว่า พยานเป็นพนักงานของบริษัทรังนกแหลมทอง (สยาม) จำกัด ทำหน้าที่เป็นพนักงานขับเรือรับส่งคนงานของบริษัท วันเกิดเหตุเวลา 8.30 นาฬิกา พยานขับเรือไปส่งคนงานที่เกาะเทวดาเพื่อสลับเปลี่ยนคนงานชุดเดิม ได้ยินคนงานที่เกาะเทวดาพูดกันว่ามีคนร้ายเข้าไปที่ถ้ำถุ้งเตี้ยน้อยบนเกาะเทวดา พยานจึงแจ้งให้นายหมวดตรีฉัตรชัยทราบ นายหมวดตรีฉัตรชัยเบิกความว่า พยานได้รับแต่งตั้งจากผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุงและคณะกรรมการให้เป็นหัวหน้าชุดพิทักษ์และดูแลคุ้มครองนกอีแอ่น มีหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิดที่ลักลอบขึ้นไปบนเกาะสี่ เกาะห้าเพื่อจับนกอีแอ่น หรือรังนกอีแอ่น ซึ่งอยู่ในเขตสัมปทานของบริษัทแหลมทอง (สยาม) จำกัด วันเกิดเหตุ เวลาประมาณ 9 นาฬิกา เมื่อพยานได้รับแจ้งเรื่องจากนายลือชัยแล้ว พยานกับนายสุทิน คำทอง และคนงานของบริษัทแหลมทอง (สยาม) จำกัด ได้เดินทางไปที่ถ้ำถุ้งเตี้ยน้อยให้นายสุทินกับพวกคนงานจำนวนหนึ่งไปดักเพื่อสกัดจับคนร้ายอยู่ที่ปล่องระบายอากาศของถ้ำ ซึ่งคนร้ายอาจใช้เป็นทางหลบหนีได้ ส่วนพยานกับพวกคนงานอีกจำนวนหนึ่งได้เดินเข้าไปทางปากถ้ำ เมื่อเข้าไปได้ประมาณ 15 เมตร ก็พบกระสอบสำหรับใช้ใส่ปุ๋ยวางอยู่ที่พื้นถ้ำ จำนวน 1 ใบ ตรวจสอบแล้วภายในกระสอบมีห่ออาหาร ไฟฉาย น้ำดื่ม และเชือก นอกจากนี้ยังพบเหล็กสำหรับใช้แทงรังนกอยู่ใกล้ ๆ กับกระสอบดังกล่าวด้วย พยานกับพวกตรวจสอบบริเวณใกล้เคียงต่อไปจึงได้พบจำเลยที่ 1 และที่ 3 หลบซ่อนอยู่ในโพรงหิน ห่างจากที่พบกระสอบดังกล่าวประมาณ 5 เมตร สอบถามจำเลยที่ 1 และที่ 3 แล้วได้ความว่าจำเลยที่ 1 และที่ 3 มาด้วยกันทั้งหมดรวม 5 คน โดยพวกที่เหลือได้พากันไปหลบอยู่ที่โพรงถ้ำซึ่งเป็นแอ่งลึกลงไปจากพื้นถ้ำประมาณ 45 เมตร พยานกับพวกจึงลงไปในแอ่งลึกดังกล่าว เมื่อลงไปถึงพื้นแอ่งลึกได้พบจำเลยที่ 2 ที่ 4 และที่ 5 จึงได้ควบคุมตัวกลับขึ้นไปบนถ้ำ เมื่อขึ้นถึงลานดินชั้นบนของถ้ำได้มีคนงานนำกระสอบสำหรับใช้ใส่ปุ๋ยอีก 1 ใบ มาส่งมอบให้พยานโดยแจ้งว่าพบอยู่ใกล้ ๆ กับกระสอบที่พบครั้งแรก พยานได้ตรวจสอบแล้วภายในกระสอบที่พบครั้งหลังมีรังนกอีแอ่นชนิดสีดำบรรจุอยู่จำนวน 60 รัง พยานได้สอบถามจำเลยทั้งห้าแล้วให้การว่า จำเลยทั้งห้าได้ร่วมกันมาที่เกิดเหตุเพื่อที่จะแทงรังนกอีแอ่นภายในถ้ำ แต่ยังไม่ได้ลงมือแทงรังนกแต่อย่างใด กระสอบที่พบทั้ง 2 ใบ ไม่ใช่ของจำเลยทั้งห้า แต่พยานเชื่อว่าจำเลยทั้งห้าเป็นคนร้ายเนื่องจากพบจำเลยทั้งห้าอยู่ในถ้ำ และตรวจพบว่าที่ผนังถ้ำมีร่องรอยการแทงรังนกทั้งเหล็กแหลมสำหรับแทงรังนกที่พบก็มีร่องรอยการใช้แทงรังนกอีกด้วย จึงแจ้งข้อหาจำเลยทั้งห้าว่า แทงและเก็บรังนกอีแอ่นและมีรังนกอีแอ่นไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต แล้วทำบันทึกการจับกุมให้จำเลยทั้งห้าลงชื่อไว้ตามบันทึกการจับกุมจากนั้นควบคุมจำเลยทั้งห้าพร้อมยึดสิ่งของที่ค้นพบดังกล่าวเป็นของกลาง ส่งมอบพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอปากพะยูน จังหวัดพัทลุง ร้อยตำรวจเอกศิริศักดิ์ พูลศิริ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ชั้นสอบสวนแจ้งข้อหาเช่นเดียวกับชั้นจับกุม จำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ พยานได้จัดทำบัญชีของกลางไว้ ตามบัญชีของกลางคดีอาญา ถ่ายภาพของกลางไว้ เห็นว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความถึงการกระทำผิดของจำเลยทั้งห้า คำเบิกความของพยานโจทก์คงได้ความเพียงพฤติการณ์แวดล้อมกรณีเท่านั้นกล่าวคือพยานโจทก์พบกระสอบปุ๋ยที่มีห่ออาหารไฟฉาย น้ำดื่ม และเชือก บรรจุอยู่จำนวน 1 ใบ เหล็กแหลมสำหรับแทงรังนกอีแอ่น 2 อัน และกระสอบปุ๋ยที่มีรังนกอีแอ่นบรรจุอยู่ 60 รัง อีก 1 ใบ ยึดไว้เป็นของกลาง ของกลางดังกล่าวอยู่ใกล้กันและอยู่ห่างจากจุดที่พบจำเลยที่ 1 ที่ 3 หลบซ่อนอยู่ประมาณ 5 เมตร ทั้งพบว่าบริเวณผนังถ้ำมีร่องรอยการแทงรังนกอีแอ่น และพบด้วยว่าเหล็กแหลมของกลางมีร่องรอยการใช้งานมาแล้วด้วย พฤติการณ์เช่นนี้ประกอบกับการที่จำเลยทั้งห้าขึ้นเกาะและเข้าไปในถ้ำที่เกิดเหตุโดยไม่ได้รับอนุญาตจึงทำให้พยานโจทก์ต่างคิดว่าจำเลยทั้งห้าร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง แต่เมื่อพิเคราะห์จากคำเบิกความของพยานโจทก์ในการตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งห้าแล้ว นายลือชัยเบิกความว่าเคยได้ยินข่าวว่าคนงานซึ่งทำหน้าที่เก็บรังนกอีแอ่นได้เก็บรังนกแล้วซ่อนไว้ในถ้ำเพื่อให้บุคคลอื่นมานำออกไป นายหยุ้ง ผู้จัดการคนงานเบิกความว่าก่อนเกิดเหตุคดีนี้เคยมีคนงานลักรังนกจำนวนมาก โดยเก็บซุกซ่อนไว้ทั้งในและนอกถ้ำ เคยมีการวิสามัญคนร้ายที่เข้าไปลักรังนกแล้วประมาณ 20 ศพ ชั้นจับกุมคนร้ายมักให้การรับสารภาพ การเก็บรังนกนั้นเหล็กแหลมสำหรับแทงรังนกจะต้องมีไม้ต่อจึงจะใช้แทงรังนกได้เนื่องจากถ้ำสูง นอกจากนี้ยังต้องมีโครงไม้ไผ่พาดใช้ปีนผนังถ้ำด้วย ไม้ที่ใช้ต่อเหล็กแทงรังนกมีขนาดยาวประมาณ 3-4 เมตร เชือกของกลางคดีนี้ใช้ปีนลงในถ้ำได้ ปกติภายใจถ้ำจะไม่มีไม้ไผ่หากมีอุปกรณ์เพียงแค่ของกลางคดีนี้จะไม่สามารถเก็บรังนกได้ นายหมวดตรีฉัตรชัยเบิกความว่า ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าเหล็กแทงรังนกของกลางได้ใช้แทงรังนกในวันเกิดเหตุหรือไม่ คนงานจะใช้เหล็กแทงรังนกและเชือกลักษณะเดียวกับของกลาง รังนกของกลางเป็นรังนกที่เก็บไว้ก่อนแล้วโดยคนงานของบริษัทหรือไม่ ไม่ทราบ จากคำเบิกความของพยานโจทก์ที่ตอบทนายจำเลยทั้งห้าถามค้านดังกล่าวประกอบกับพฤติการณ์ที่เป็นพิรุธที่ได้จากคำเบิกความของนายหมวดตรีฉัตรชัย กล่าวคือนายหมวดตรีฉัตรชัยเบิกความว่าเมื่อจับกุมจำเลยทั้งห้าได้ สอบถามแล้วจำเลยทั้งห้าให้การปฏิเสธ แต่เมื่อแจ้งข้อหาให้จำเลยทั้งห้าทราบจำเลยทั้งห้าให้การรับสารภาพ จึงได้ทำบันทึกการจับกุมไว้ และเมื่อตอาบทนายจำเลยทั้งห้าถามค้านนายหมวดตรีฉัตรชัยกลับเบิกความว่า หลังจากควบคุมตัวจำเลยทั้งห้าแล้ว ได้สอบถามจุดประสงค์ที่จำเลยทั้งห้ามาที่ถ้ำ จำเลยทั้งห้าแจ้งว่าเพิ่งเข้ามายังไม่ได้ดำเนินการอะไร อีกทั้งจำเลยทั้งจำเลยทั้งห้าเบิกความปฏิเสธว่าไม่ได้รับสารภาพในบันทึกการจับกุมโดยสมัครใจ ต้องยอมรับสารภาพเพราะถูกข่มขู่ว่าหากไม่ยอมรับสารภาพจะถูกยิงทิ้ง เช่นนี้เห็นว่า พยานหลักฐานเท่าที่โจทก์นำสืบมาฟังได้ว่ามีคนร้ายค้นไปบนเกาะใช้เหล็กแทงรังนกอีแอ่นโดยผิดกฎหมาย แต่ยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้เชื่อได้โดยสนิทใจว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง กรณียังมีเหตุสงสัยตามสมควรต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษามาไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ฟังขึ้น พยานหลักฐานของโจทก์ดังกล่าวที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 และที่ 4 เหมือนกันกับพยานหลักฐานของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ทุกประการเพราะเป็นพยานหลักฐานชุดเดียวกัน เมื่อพยานหลักฐานดังกล่าวยังไม่มีน้ำหนักมั่นคงให้เชื่อได้โดยสนิทใจว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้อง ก็ย่อมไม่มีน้ำหนักให้เชื่อได้โดยสนิทใจว่าจำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องด้วยเพราะเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ดังนั้นแม้จำเลยที่ 1 และที่ 4 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 4 ที่มิได้ฎีกาด้วยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา 225
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำพิพากษาให้ริบเหล็กแทงรังนก เชือก และถุงกระสอบนั้นชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ริบรังนกอีแอ่นของกลางนั้น เห็นว่า รังนกอีแอ่นของกลางเป็นทรัพย์สินซึ่งเก็บโดยไม่ได้รับสัมปทานจากคณะกรรมการจึงเป็นทรัพย์สินซึ่งได้มาโดยการฝ่าฝืนตามมาตรา 14 วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอากรรังนกอีแอ่น พ.ศ.2540 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 ไม่ริบรังนกอีแอ่นของกลางดังกล่าว จึงไม่ชอบ เห็นสมควรให้ริบเสียด้วย”
พิพากษากลับ ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยทั้งห้า แต่ให้ริบของกลางทั้งหมด