คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6708/2559

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เพื่อดำเนินการบังคับคดีมาก่อนและศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องไปแล้ว การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เข้ามาใหม่อีก แม้ตามคำร้องฉบับแรกจะอ้างเพื่อไปยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนอง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้รายเดียวกันเพื่อผู้ร้องจะได้ดำเนินการบังคับคดีต่อ จึงเป็นประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีแทนโจทก์หรือไม่เช่นเดียวกันทั้งสองฉบับ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอสวมสิทธิแทนโจทก์ของผู้ร้องฉบับแรก อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเรื่องการขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในการบังคับคดีต่อของผู้ร้องแล้ว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์เข้ามาใหม่อีกขอให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องเดียวกัน จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำตาม ป.วิ.พ. มาตรา 144 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระหนี้แก่โจทก์เมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540 หลังจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว โจทก์โอนสิทธิเรียกร้องที่มีต่อจำเลยทั้งสามในคดีนี้ให้แก่บริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด ต่อมาผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องได้รับโอนสิทธิเรียกร้องมาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์เพชรบุรี จำกัด และขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้ว มีคำสั่งยกคำร้องเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551
วันที่ 11 มิถุนายน 2557 ผู้ร้องยื่นคำร้องและขอแก้ไขคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ใหม่อีกเพื่อไปขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิในทรัพย์จำนองที่ถูกเจ้าหนี้อื่นนำยึดไว้ตามสิทธิของผู้ร้องต่อไป
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งให้ยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ของผู้ร้องในวันที่ 11 มิถุนายน 2557 ไม่ได้อ้างสิทธิเดิม จึงไม่เป็นคำร้องซ้ำในประเด็นที่ศาลชั้นต้นเคยวินิจฉัยชี้ขาดยกคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์ของผู้ร้องไปก่อนแล้วในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 นั้น เห็นว่า ก่อนที่ผู้ร้องจะยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เข้ามาในวันที่ 11 มิถุนายน 2557 ผู้ร้องเคยยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เพื่อดำเนินการบังคับคดีมาก่อนแล้ว ซึ่งศาลชั้นต้นได้นัดไต่สวนและมีคำสั่งยกคำร้องไปแล้วเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 ดังนั้น การที่ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาแทนโจทก์เข้ามาใหม่อีก แม้ตามคำร้องฉบับลงวันที่ 11 มิถุนายน 2557 จะอ้างว่าเพื่อไปยื่นคำร้องขอรับชำระหนี้บุริมสิทธิจำนอง แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของลูกหนี้รายเดียวกันเพื่อผู้ร้องจะได้ดำเนินการบังคับคดีต่อ จึงเป็นประเด็นที่ศาลจะต้องพิจารณาว่าจะอนุญาตให้ผู้ร้องเข้ามาเป็นคู่ความในชั้นบังคับคดีแทนโจทก์หรือไม่เช่นเดียวกันทั้งสองฉบับ หาใช่ประเด็นแห่งคดีของคำร้องทั้งสองฉบับแตกต่างกันดังที่ผู้ร้องกล่าวอ้างมาในฎีกาไม่ เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ของผู้ร้องฉบับแรกในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 อันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นในเรื่องการขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์ในการบังคับคดีต่อของผู้ร้องแล้ว การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าสวมสิทธิแทนโจทก์เข้ามาใหม่อีกในวันที่ 11 มิถุนายน 2557 ขอให้ศาลมีคำสั่งในเรื่องเดียวกันจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 วรรคหนึ่ง ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share