คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2496

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้เรือขุด ขุดแร่ทำให้น้ำขุ่นข้นมูลดินมูลทรายไหลเข้านาโจทก์ เพราะทำนบกั้นน้ำพังนั้น เพียงทำนบกั้นน้ำ พังไม่ใช่เป็นการละเมิดสิทธิโจทก์ แต่การละเมิดสิทธิเกิดขึ้นเมื่อน้ำไหลพามูลดินทรายเข้าที่นาโจทก์ ทำให้โจทก์ทำ นาไม่ได้ ฉะนั้นอายุความจึงตั้งต้นแต่น้ำเข้านาโจทก์หาใช่ตั้งแต่ทำนบพังไม่.
การที่โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ในการที่จำเลยเดินเรือขุดแร่ ทำให้น้ำขุ่นข้นมูลดินทรายไหลเข้านา โจทก์ ่จนโจทก์นำนาไม่ได้ในปี พ.ศ. 2492 เป็นเงินจำนวนหนึ่ง เมื่อจำเลยยังคงไม่ปิดทำนบกั้นน้ำ และยังคงใช้ เรือขุดแร่ ขุดต่อมาใน พ.ศ. 2493 โจทก์ก็ย่อมมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในการทำนาใน พ.ศ. 2493 ได้อีก ต่างหากไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะเป็นการละเมิดใหม่ ต่างหากจากที่ฟ้องคราวก่อน./

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ใช้เรือขุด ขุดแร่ต้น พ.ศ. ๒๔๙๒ ทำให้น้ำขุ่นข้นปนมูลดิน มูลทรายไหลจากเขตประทานบัตรของ จำเลย เข้าไปในที่ดินนาของโจทก์ จำเลยได้ทำนบปิดกั้นไว้ แต่ไม่แข็งแรง ทำนบจึงพัง จำเลยมิได้จัดการซ่อม โจทก์ได้ รับความเสียหาย จึงฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ๒๕๐๐ คดี อยู่ในระหว่างฎีกา มาใน พ.ศ.๒๔๙๓ จำเลยก็ไม่จัดปิดกั้นทำนบ โจทก์จึงทำนาใน พ.ศ.๒๔๙๓ ไม่ได้อีก จึงขอให้จำเลย ใช้ค่าเสียหายอีก ๒๕๐๐ บาท กับให้จำเลยปิดกั้นทำนบเสีย.
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ๒๕๐๐ บาท กับให้กั้นทำนบอย่าให้น้ำขุ่นข้นเจือปนมูลดินทราย เข้า ท่วมนาของโจทก์ต่อไป
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกา ฟังข้อเท็จจริงว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้น้ำท่วมนาของโจทก์ และโจทก์ทำนาไม่ได้ เพราะการเดิน เรือขุด ทำให้น้ำไหลบ่าเข้าไปในนาของโจทก์ จนทำนาไม่ได้
ข้อที่จำเลยต่อสู้ว่า ขาดอายุความเพราะมาฟ้องหลังทำนบพัง ๒ ปีเศษนนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเพียงแต่ทำนบพังไม่ใช่เป็น การละเมิดสิทธิของโจทก์ แต่การละเมิดสิทธิเกิดขึ้นเมื่อน้ำไหล พามูลดินทรายเข้าไปในที่นาของโจทก์ ทำให้โจทก์ทำนา ไม่ได้ต่างหาก ต้องคำนวณอายุความตั้งแต่นั้นมา หาใช่ตั้งแต่ทำนบพังไม่ และไม่เป็นฟ้องซ้ำ เพราะการละเมิดใหม่ต่าง หากจากที่ฟ้องคราวก่อน จึงพิพากษายืน.

Share