คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 670/2472

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้มีชื่อในโฉนดชั้นต้นสันนิษฐานว่าเปนเจ้าของที่ดิน วิธีพิจารณา หน้าที่นำสืบ ผู้ใดโต้แย้งว่าผู้ที่มีชื่อในโฉนดไม่ใช่เจ้าของที่ดิน ผู้นั้นต้องนำสืบเอาชื่อในผู้ใหญ่บ้านลงในโฉนดเพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมน้อย พ.ร.บ.ฎีกาอุทธรณ์ ศาลล่างตัดสินต้องกัน

ย่อยาว

โจทย์ฟ้องว่าเมื่อ ร.ศ.๑๒๗ เจ้าพนักงานไปรังวัดออกโฉนด พวกโจทก์ยอมให้ ห.บิดาจำเลยซึ่งเปนผู้ใหญ่บ้านลงชื่อในโฉนดเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียว เพื่อให้เสียค่าธรรมเนียมน้อย เมื่อ ๘ ปีมานี้ ห.ตาย จำเลยเปนผู้รับมฤดกไม่ยอมแบ่งที่ให้โจทก์ จำเลยต่อสู้ว่าเปนที่ของมารดามาแต่เดิม
ศาลเดิมตัดสินว่า ข้อเท็จจริงฟังไม่ถนัดว่าที่พิภาษเปนของฝ่ายใดแน่ เมื่อโจทก์ยินยอมให้ ห.มีชื่อในโฉนดแล้ว กรรมสิทธิที่ดินย่อมตกเปนของ ห.ตาม พ.ร.บ.ออกโฉนดที่ดิน ร.ศ.๑๒๗ จึงให้ยกฟ้องโจทก์เสีย
ศาลอุทธรณ์ตัดสินยืนตามศาลเดิม แลกล่าวว่าแม้จะฟังว่าเดิมเปนที่ของโจทก์ก็ดี เมื่อโจทก์ยินยอมให้ ห.ลงชื่อในโฉนดเพื่อหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียม ตามกฎหมาย ห.ควรได้รับกรรมสิทธิ
โจทก์ฎีกาว่า เมื่อศาลอุทธรณ์เชื่อเปนจริงตามข้อหาโจทก์แล้ว การที่ ห.มีชื่อในโฉนดจึงไม่ทำให้ที่ดินตกเปนกรรมสิทธิแก่ ห.
ศาลฎีกาตัดสินว่า คดีนี้โจทก์จะฎีกาได้ฉะเพาะในปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้น แลศาลฎีกาจะต้องฟังข้อเท็จจริงตามศาลอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่รายนี้จะฟังว่าเปนของโจทก์ไม่ได้ เพราะโจทก์สืบไม่สมฟ้อง ซึ่งเปนการวินิจฉัยแลมีความหมายตรงกับที่ศาลเดิมกล่าวว่า ” ข้อเท็จจริงจะฟังว่าที่พิภาษเปนของฝ่ายใดไม่ถนัด ” แล้ว ส่วนข้อที่ศาลอุทธรณ์กล่าวว่า ” แม้จะฟังเปนจริงดังข้อหาโจทก์ ” นั้น คำกล่าวเช่นนี้หาใช่เปนข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังไม่ ฎีกาของโจทก์จึงไม่มีปัญหาในข้อกฎหมาย ฎีกาไม่ได้ให้ยกเสีย

Share