คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 669/2526

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ในสัญญาเช่าซื้อนั้น คู่สัญญาอาจตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นสองงวดได้ ไม่จำต้องกำหนดการผ่อนชำระเป็นรายเดือนรายวันหรือรายสัปดาห์ สัญญาระหว่างจำเลยกับผู้ร้องจึงเป็นสัญญาเช่าซื้อมิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด เมื่อจำเลยยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบกรรมสิทธิ์ในรถของกลางจึงเป็นของผู้ร้อง(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1617/2515)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากศาลแขวงขอนแก่นพิพากษาให้ริบรถจักรยานยนต์ของกลางที่จำเลยใช้ลากจูงรถลากเข็นซึ่งบรรทุกไม้ฟืนหวงห้ามอันผิดกฎหมาย ผู้ร้องยื่นคำร้องว่ารถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของผู้ร้องซึ่งได้ให้จำเลยเช่าซื้อไปและยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด ขอให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า รถจักรยานยนต์ของกลางเป็นของจำเลย ไม่ใช่ของผู้ร้องขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องแล้วมีคำสั่งให้คืนรถจักรยานยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกาเฉพาะข้อกฎหมายว่า สัญญาเอกสารหมาย ร.3 เป็นการซื้อขายเสร็จเด็ดขาด กรรมสิทธิ์ในรถจักรยานยนต์ของกลางโอนเป็นของจำเลยแล้ว เพราะในสัญญามิได้ระบุชัดเจนลงไปว่าจำเลยจะผ่อนเป็นรายเดือน รายวัน หรือรายสัปดาห์ละเท่าใด อันจะเป็นสัญญาเช่าซื้อตามกฎหมาย

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ตามสัญญาหมาย ร.3 ระบุชื่อว่าสัญญาเช่าซื้อ ความในสัญญามีว่า จำเลยเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ของกลางจากผู้ร้องในราคา 17,000 บาท ชำระค่าเช่าซื้อในวันทำสัญญาคือวันที่ 6 พฤศจิกายน 2524 เป็นเงิน 10,000 บาท เดือนกุมภาพันธ์ 2525 จะต้องชำระอีก 7,000 บาท ดังนี้ เห็นว่าในสัญญาเช่าซื้อนั้นคู่สัญญาอาจตกลงชำระค่าเช่าซื้อเป็นสองงวดได้ หาจำต้องกำหนดการผ่อนชำระเป็นรายเดือน รายวัน หรือรายสัปดาห์ดังที่โจทก์ฎีกาไม่ ทั้งน่าเชื่อว่าคู่กรณีมีเจตนาให้เป็นสัญญาเช่าซื้อจึงถือได้ว่าเป็นสัญญาเช่าซื้อ มิใช่สัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1617/2515 เมื่อจำเลยยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ในรถของกลางจึงเป็นของผู้ร้อง

พิพากษายืน

Share