แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำว่าทรัพย์ต้องอายัดตาม ม.316 นั้นกินความถึงทรัพย์ที่ถูกยึดแล้วมอบหมายให้เจ้าของทรัพย์นั้นเป็นผู้ดูแลรักษาไว้ด้วย และถ้ามอบหมายให้ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลรักษาแล้วเจ้าของทรัพย์บังอาจเอาไปโดยเจตนาทุจริตก็มีผิดฐานลักทรัพย์ ม. 291(ประชุมใหญ่)
ย่อยาว
คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยถูกนายประมุขเจ้าพนักงานบังคับคดีของศาลจังหวัดปราจีนบุรียึดข้างเปลือกของจำเลยไว้ ๒๕๖ ถัง เป็นราคา ๑๖๒๕ บาท ตามคำสั่งของศาลจังหวัดปราจีนบุรี เพื่อขายใช้หนี้แก่นายสายหยัดเจ้าหนี้ของจำเลยในคดีแดงที่ ๑/๒๔๙๖ โดยมอบให้จำเลยเป็นคนดูแลรักษาข้าวที่ยึดไว้นั้น แต่ต่อมาจำเลยบังอาจยักยอกเอาข้าวเปลือกนั้นไปจำหน่ายเสีย โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษฐานยักยอกตาม ก.ม.อาญา ม. ๓๑๔,๓๑๖ โดยมีนายสายหยัดผู้เสียหายร้องทุกข์และขอเป็นโจทก์ร่วม
จำเลยรับสารภาพตามฟ้อง แต่ต่อสู้ในข้อ ก.ม.ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามฟ้อง เพราะข้าวรายนี้ถูกเจ้าพนักงานยึด ไม่ใช่อายัด อันจะเป็นความผิดตาม ม.๓๑๔,๓๑๖ ดังโจทก์ฟัอง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีนี้ทรัพย์ที่ได้มอบหมายเป็นของจำเลยเอง การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิด ตาม ม.๓+๘
ส่วนความผิดตาม ม.๓๑๖ จะต้องปรากฎว่าเป็นทรัพย์ที่ต้องอายัด ซึ่งมีความหมายต่างกับทรัพย์ที่ถูกยึดจำเลยจึงไม่มีความผิดตามมาตรานี้ดุจกัน พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์ ปล่อยจำเลย
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนแต่มีผู้พิพากษานายหนึ่งมีความเห็นแย้งว่าข้าวของจำเลยที่ถูกยึดนั้นต้องถือว่าถูกอายัดด้วย เมื่อ จำเลยเอาไปขายโดยเจตนาทุจริตต้องมีความผิดตาม ม.๓๑๖ ประกอบด้วย ม.๓๑๔ ดังโจทก์ฟ้อง
โจทก์ฎีกาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามบทที่โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษ
โดยมติของที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าความผิดในการที่ที่เจ้าของทรัพย์บังอาจเอาทรัพย์ของตนอันต้องยึดหรือต้องอายัดไปเสียโดยเจตนาทุจริตเช่นนี้ ตาม ก.ม.อาญามีบัญญัติอยู่ ๒ แห่ง คือ ม.๓๑๖ ฐานยักยอกทรัพย์ที่โจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยในคดีนี้ กับ ม. ๒๙๐ ในหมวดฐานลักทรัพย์ ที่บัญญัติไว้เช่นนี้ก็โดยตามหลักทั่วไปของความผิดฐานลักทรัพย์ก็ดี ฐานยักยอกทรัพย์ก็ดี จะต้องเป็นทรัพย์ของผู้อื่น ถ้าเป็นทรัพย์ของตนเองแล้วไม่เป็นความผิด ดังนั้นจึงแสดงให้เป็นว่าการที่เจ้าของทรัพย์บังอาจเอาทรัพย์ของตนเองอันต้องยึดหรืออายัดไปโดยเจตนาทุจริตต้องมีความผิดฐานลักทรัพย์หรือยักยอกอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ว่าทรัพย์นั้นเจ้าของทรัพย์หรือผู้อื่นเป็นผู้รับมอบหมายไว้ ส่วนการที่ ม.๒๙๐ บัญญัติถึงทรัพย์ต้องยึดหรืออายัด แต่ ม.๓๑๖ บัญญัติเพียงต้องอายัดอย่างเดียวเท่านั้น ก็คงเนื่องจาก ก.ม. ในขณะนั้นไม่ได้บัญญัติเรื่องยึดหรืออายัดไว้ชัดแจ้ง แต่ได้ใช้คำทั้งสอบนี้ปะปนกันต่างกับที่ใช้อยู่เวลานี้ ทั้ง ก.ม.อาญาก็มิได้ให้คำวิเคราะห์ศัพท์ไว้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า คำว่าทรัพย์ต้องอายัดตาม ม.๓๑๖ ย่อมกินความถึงทรัพย์ที่ถูกยึดแล้วมอบหมายให้เจ้าของทรัพย์นั้นเป็นผู้ดูแลรักษาไว้เช่นคดีนี้ด้วย และถ้ามอบหมายให้ผู้อื่นเป็นผู้ดูแลรักษาแล้วเจ้าของทรัพย์บังอาจเอาไปโดยเจตนาทุจริตก็มีผิดฐานลักทรัพย์ตาม ม. ๒๙๐
พิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตาม ก.ม.อาญา ม. ๓๑๖ ประกอบกับ ม. ๓๑๔ ให้จำคุกจำเลย ๑ ปี ปราณีตาม ม.๕๙ กึ่งหนึ่งคงจำคุกจำเลย ๖ เดือน และปรากฎว่าจำเลยไม่เคยต้องโทษมาก่อนสมควรให้รอการลงโทษจำเลยไว้มีกำหนด ๓ ปี