คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6642/2539

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297และตามคำฟ้องไม่มีข้อความตอนใดบรรยายถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปอันเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 299 แม้ทางพิจารณาจะได้ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 299 ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่บรรยายในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้ขวดสุราเป็นอาวุธตีนายสำราญ ศรแก้วผู้เสียหาย 1 ทีถูกบริเวณตาข้างซ้าย ทำให้ลูกตาข้างซ้ายแตกเลนส์แตก ตาซ้ายบอด เป็นอันตรายสาหัส ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นายสำราญ ศรแก้ว ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297(1) จำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ ขณะที่โจทก์ร่วมกับนายสมนึก เนินใหม่ นายสุตา โกดมงคล กับพวกอีกรวม 30 คนนั่งดื่มสุราอยู่ที่บริเวณศาลาวัดเขาทุเรียน โจทก์ร่วมถูกทำร้ายร่างกายได้รับอันตรายสาหัสลูกตาข้างซ้ายแตกต้องควักลูกตาซ้ายใส่วัสดุหนุนลูกตาซ้าย ปรากฏตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์เอกสารหมาย จ.6 คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยว่า จำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ ตามคำเบิกความของจ่าสิบเอกเกษมนี้ขัดแย้งกับพยานโจทก์และโจทก์ร่วมปากอื่นที่ว่าโจทก์ร่วมถูกพวกเดียวกันใช้ขวดสุราที่แตกจะแทงจำเลยแต่พลาดไปถูกโจทก์ร่วมซึ่งเจือสมกับคำเบิกความของพยานจำเลยเมื่อเป็นดังนี้คำเบิกความของพยานจำเลยจึงมีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมได้ ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่า จำเลยเป็นผู้ใช้ขวดสุราตีทำร้ายโจทก์ร่วม และตามทางนำสืบของโจทก์และโจทก์ร่วมดังกล่าวได้ความว่า ก่อนโจทก์ร่วมถูกทำร้ายจำเลยกับพวกของโจทก์ร่วม คือ นายสมนึกหรือนายจูและนายสุตาหรือตาเกิดชุลมุนวิวาทกันก่อนแล้วโจทก์ร่วมจึงถูกทำร้าย จากเหตุที่จำเลยกับพวกของโจทก์ร่วมชุลมุนวิวาทกันดังกล่าว ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมถูกทำร้ายเพราะมีการชุลมุนต่อสู้กันระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไปคือจำเลยกับนายสมนึกหรือจูและนายสุตาหรือตา ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 299 แห่งประมวลกฎหมายอาญา แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสตามมาตรา 297และตามคำฟ้องไม่มีข้อความตอนใดบรรยายถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญของความผิดฐานเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ระหว่างบุคคลตั้งแต่สามคนขึ้นไป อันเป็นเหตุให้โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัส ซึ่งจะมีผลให้ลงโทษจำเลยตามมาตรา 299 ได้ ต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่ปรากฏตามทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่บรรยายในคำฟ้องในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความไม่ได้ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วยฎีกาจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share