แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ผู้เยาว์กับจำเลยรักใคร่กันโดยที่จำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน จำเลยพาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยได้เสียกันเพื่อประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มารดาจำเลยไม่ยอมรับผู้เยาว์เป็นสะใภ้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจาร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2540 เวลากลางวัน ถึงวันที่ 13 พฤษภาคม 2540 เวลากลางวันต่อเนื่องกันทั้งกลางวันและกลางคืน จำเลยพรากเอานางสาวโสภิตา ปิ่นตา ผู้เยาว์ อายุ 15 ปี 1 เดือน ซึ่งยังไม่เกิน 18 ปี ไปเสียจากนางพวงปิ่นตา มารดาผู้เสียหาย ทั้งนี้เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์เต็มใจไปด้วย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319
จำเลยให้การว่า ได้พานางสาวโสภิตา ผู้เยาว์ไปจากความปกครองของผู้เสียหายเพื่ออยู่กินฉันสามีภริยา มิใช่เพื่อการอนาจาร
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 319วรรคแรก จำคุก 4 ปี คำให้การและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสี่คงจำคุก3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ขณะเกิดเหตุคดีนี้นางสาวโสภิตา ปิ่นตา ผู้เยาว์ มีอายุ 15 ปีเศษผู้เยาว์เป็นบุตรของนายสมศรี และนางพวงปิ่นตา ผู้เสียหาย เมื่อปลายปี 2539 ผู้เยาว์ทำงานเป็นลูกจ้างอยู่ที่ร้านอาหารครัวไผ่งามของมารดาจำเลย ผู้เยาว์ทำงานที่ร้านอาหารได้ประมาณ 20 วัน ก็เลิกทำงานกลับไปอยู่บ้าน จำเลยได้ไปหาผู้เยาว์ทุกวัน แล้วบอกผู้เยาว์ว่าจำเลยจะให้มารดาจำเลยมาสู่ขอผู้เยาว์เป็นภริยา และชักชวนผู้เยาว์ไปอยู่ที่ร้านอาหารด้วยกัน เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม2540 ในระหว่างที่ผู้เยาว์อยู่ที่ร้านอาหาร จำเลยกระทำชำเราผู้เยาว์โดยผู้เยาว์ยินยอมหลายครั้ง แต่เมื่อผู้เยาว์เร่งรัดฝ่ายจำเลยให้ไปสู่ขอตามประเพณี ฝ่ายจำเลยเพิกเฉย จนเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2540 นางพวงผู้เสียหายให้ผู้เยาว์สอบถามมารดาจำเลยเรื่องการสู่ขออีกครั้งหนึ่ง มารดาจำเลยไม่พอใจมีการทะเลาะด่าว่ากันนางพวงผู้เสียหายจึงนำผู้เยาว์ไปแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจพนักงานสอบสวนส่งผู้เยาว์ให้แพทย์ตรวจร่างกาย ปรากฏว่าผู้เยาว์เคยผ่านการร่วมประเวณีและตั้งครรภ์ได้ประมาณ 8 สัปดาห์ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยพรากผู้เยาว์ไปเสียจากบิดามารดาเพื่อการอนาจารหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า จำเลยออกอุบายชักชวนผู้เยาว์เป็นภริยาเพื่อการอนาจารโดยไม่มีเจตนาที่จะรับผู้เยาว์เป็นภริยา เห็นว่า ตามคำเบิกความของผู้เยาว์ได้ความว่าจำเลยผิดนัดไม่ไปสู่ขอต่อบิดามารดาผู้เยาว์ตามที่ตกลงกันไว้ ผู้เยาว์ไปเร่งรัดมารดาจำเลยให้ไปสู่ขอและขู่ว่าจะนำเจ้าพนักงานตำรวจมาจับ มารดาจำเลยด่าว่าผู้เยาว์ว่ามีหลายผัวขับไล่ผู้เยาว์ออกจากบ้าน เมื่อนางพวงผู้เสียหายพาผู้เยาว์ไปแจ้งความ พนักงานสอบสวนไกล่เกลี่ยจำเลยแจ้งว่ายินดีรับผู้เยาว์เป็นภริยา แต่มารดาจำเลยบอกว่าไม่ต้องการได้ผู้เยาว์เป็นสะใภ้ นอกจากนี้ผู้เยาว์ยังได้เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยยืนยันว่า ผู้เยาว์เข้าใจว่าจำเลยตั้งใจรับเลี้ยงผู้เยาว์เป็นภริยาจริง แต่มารดาจำเลยขัดขวางทำให้ไม่สามารถแต่งงานกันได้ เมื่อผู้เยาว์นำผลการตรวจของแพทย์ว่าผู้เยาว์ตั้งครรภ์ให้จำเลยดู จำเลยก็บอกว่าจะรับเลี้ยงดูบุตรที่เกิดจากผู้เยาว์ซึ่งก็ตรงกับที่จำเลยเบิกความว่าจำเลยยังอยากได้ผู้เยาว์เป็นภริยา แต่มารดาจำเลยไม่ต้องการได้ผู้เยาว์เป็นสะใภ้ เห็นได้ว่า จำเลยกับผู้เยาว์รักใคร่ชอบพอกัน จำเลยมารับผู้เยาว์ไปอยู่ที่ร้านอาหารของมารดาจำเลยเพื่อเป็นภริยา แต่ผู้เยาว์เร่งรัดมารดาจำเลยให้ไปสู่ขอต่อบิดามารดาผู้เยาว์ตามประเพณีทำให้มารดาจำเลยไม่พอใจทะเลาะวิวาทกับผู้เยาว์ขับไล่ผู้เยาว์ออกจากบ้านไม่ยอมไปสู่ขอผู้เยาว์เป็นภริยาจำเลย การที่ผู้เยาว์กับจำเลยสมัครรักใคร่กันโดยที่จำเลยยังไม่มีภริยามาก่อน จำเลยได้พาผู้เยาว์ไปอยู่กับจำเลยได้เสียกันก็เพื่อประสงค์จะอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา แต่มีเหตุขัดข้องเกิดจากมารดาจำเลยไม่ยอมรับผู้เยาว์เป็นสะใภ้ การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงไม่เป็นความผิดฐานพรากผู้เยาว์ไปเพื่อการอนาจารตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน