คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6628/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยรับรถยนต์ที่โจทก์รับประกันภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยเพื่อรับจ้างติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าสจำเลยจึงมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์มิให้สูญหายเพื่อจะได้คืนรถยนต์ให้ผู้ว่าจ้างเมื่อรถยนต์สูญหายไปในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเนื่องจากลูกจ้างของจำเลยประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งได้ใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปแล้ว โจทก์ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากส.ผู้เอาประกันภัยฟ้องจำเลยผู้กระทำละเมิดทำให้รถยนต์ที่ส.เอาประกันภัยไว้กับโจทก์สูญหายไปเมื่อส.มีสิทธิฟ้องจำเลยโดยมิต้องทวงถามก่อนโจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากส.จึงฟ้องจำเลยได้โดยไม่ต้องทวงถามจำเลยก่อน จำเลยอุทธรณ์ว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดตามเงื่อนไขท้ายกรมธรรม์ประกันภัยแต่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา243(1)ประกอบมาตรา247แต่ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยเองโดยไม่ย้อนสำนวน ข้อตกลงตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ว่าในกรณีที่มีความเสียหายหรือสูญหายเกิดขึ้นต่อรถยนต์เมื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยบริษัทสละสิทธิในการไล่เบี้ยจากผู้ใช้รถยนต์นั้นหมายถึงบุคคลผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยให้นำรถยนต์ไปใช้อย่างยานพาหนะแต่จำเลยครอบครองรถยนต์เนื่องจากรับจ้างส.ผู้เอาประกันภัยติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าสจึงไม่ใช่ผู้นำรถยนต์ไปใช้อย่างยานพาหนะกรณีไม่ต้องตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อดังกล่าวที่ถือว่าโจทก์สละสิทธิไล่เบี้ย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์รับประกันภัยรถยนต์กระบะยี่ห้อโตโยต้า (ป้ายแดง) ไว้จากนายสุเวศ ธีรอัครวิภาสในวงเงินประกันภัย 220,000 บาท มีกำหนดอายุสัญญาประกันภัย 1 ปี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2532 ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย ตัวแทนของนายสุเวศได้นำรถยนต์คันดังกล่าวไปติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าส ที่บริษัทจำเลยจำเลยมิได้ระมัดระวังดูแลรักษารถยนต์ซึ่งอยู่ในความดูแลของตนให้อยู่ในความปลอดภัย ทำให้รถยนต์คันดังกล่าวสูญหายไป โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนทรัพย์ จำกัดผู้รับประโยชน์เป็นเงิน 220,000 บาท โจทก์จึงรับช่วงสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จำเลยจึงต้องชดใช้ราคารถยนต์เท่ากับจำนวนที่ทำประกันภัยไว้กับโจทก์เป็นเงิน 220,000 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่โจทก์ชดใช้ราคารถยนต์ถึงวันฟ้องเป็นเงิน 22,685 บาท ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน 242,685 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 220,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า นายสุเวศ ธีรอัครวิภาส ได้นำรถยนต์คันดังกล่าวมาว่าจ้างจำเลยทำการติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าส จริงแต่จำเลยไม่ได้รับฝากรถยนต์คันดังกล่าวจากนายสุเวศ ให้แก่จำเลยก็เพื่อความสะดวกในการติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าสเท่านั้นมิใช่การฝากทรัพย์ จำเลยได้ใช้ความระมัดระวังดูแลรักษาเพื่อป้องกันมิให้สูญหายเช่นเดียวกับที่จำเลยปฏิบัติต่อลูกค้ารายอื่น การที่รถยนต์สูญหายเป็นเหตุสุดวิสัยจำเลยมิได้ประมาทเลินเล่อจึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายหรือราคาทรัพย์ตามเงื่อนไขสัญญากรมธรรม์ประกันภัยข้อ 3.6 ในกรณีที่มีความเสียหายหรือสูญหายเกิดขึ้นโดยบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยผู้รับประกันภัยสละสิทธิในการไล่เบี้ยจากผู้ใช้รถยนต์นั้นโจทก์จึงไม่อาจรับช่วงสิทธิมาเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ โจทก์มิได้บรรยายว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้รับประโยชน์ไปเมื่อใดและตามฟ้องโจทก์ก็ไม่ปรากฏหลักฐานแนบมาเพื่อแสดงว่าโจทก์ชดใช้ค่าเสียหายแล้วโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ก่อนฟ้องคดีโจทก์ไม่เคยติดตามทวงถามให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน220,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2532 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์แต่ดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้อง ไม่ให้เกิน 21,617.60 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิใช่ผู้รับฝากทรัพย์และรถคันเกิดเหตุสูญหายไปเพราะเหตุสุดวิสัย จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดชอบนั้นเห็นว่า การที่จำเลยรับรถยนต์คันเกิดเหตุไว้ก็เพื่อรับจ้างติดหลังคาไฟเบอร์กล๊าส จำเลยผู้รับจ้างจึงมีหน้าที่ต้องดูแลรักษารถยนต์คันเกิดเหตุมิให้สูญหายเพื่อจะได้คืนรถยนต์ให้ผู้ว่าจ้าง เมื่อข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่ารถคันเกิดเหตุหายไปในระหว่างที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยเนื่องจากลูกจ้างของจำเลยประมาทเลินเล่อจำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ คดีไม่จำต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นผู้รับฝากทรัพย์หรือไม่ และตามที่จำเลยนำสืบมานั้นเหตุที่รถยนต์หายไปก็หาใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 แต่ประการใดจำเลยฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า โจทก์มิได้ทวงถามจำเลยก่อนฟ้องนั้น เห็นว่าโจทก์ฟ้องคดีนี้ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากนายสุเวศผู้เอาประกันภัยตามข้อเท็จจริงในคดีนี้เป็นเรื่องจำเลยกระทำละเมิดต่อนายสุเวศผู้เอาประกันภัย นายสุเวศมีสิทธิฟ้องจำเลยโดยมิต้องทวงถามเสียก่อน โจทก์ผู้รับช่วงสิทธิจากนายสุเวศจึงหาต้องทวงถามจำเลยก่อนไม่ นอกจากนี้พยานหลักฐานโจทก์ยังรับฟังได้ว่าโจทก์ได้มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ก่อนฟ้องแล้ว จำเลยฎีกาข้อสุดท้ายว่าจำเลยเป็นผู้ใช้รถยนต์คันเกิดเหตุโดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกัน จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดตามเงื่อนไขท้ายกรมธรรม์ข้อ 3.6 ข้อนี้ จำเลยอุทธรณ์ แต่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัย เป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ว่าด้วยคำพิพากษาและคำสั่ง แต่ไม่มีเหตุสมควรที่จะส่งสำนวนคืนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247 พิเคราะห์แล้ว ตามกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ 3.6 มีข้อความว่า “การสละสิทธิ ในกรณีที่มีความเสียหายหรือสูญหายเกิดขึ้นต่อรถยนต์ เมื่อบุคคลอื่นเป็นผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยบริษัทสละสิทธิในการไล่เบี้ยจากผู้ใช้รถยนต์นั้น” เห็นว่าข้อความในกรมธรรม์ดังกล่าวหมายถึง บุคคลผู้ใช้รถยนต์โดยได้รับความยินยอมจากผู้เอาประกันภัยให้นำรถยนต์ไปใช้อย่างยานพาหนะแต่กรณีของจำเลย จำเลยครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุเพื่อรับจ้างติดตั้งหลังคาไฟเบอร์กล๊าสจึงไม่ใช่ผู้นำรถยนต์ไปใช้อย่างยานพาหนะ กรณีไม่ต้องตามกรมธรรม์ประกันภัยข้อดังกล่าว
พิพากษายืน

Share