แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชดใช้เงินเบิกล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตสัญญาซื้อขายและให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดชดใช้เงินในฐานะผู้ค้ำประกันอันเป็นมูลกรณีฐานผิดสัญญาแม้ฟ้องแย้งของจำเลยจะกล่าวอ้างว่าเจ้าหน้าที่ของโจทก์สมคบกับคนของบริษัทจำเลยที่ 1 ร่วมกันแก้ไขและปลอมเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ แต่ก็หาได้มีคำขอบังคับให้เพิกถอนทำลายเอกสารสัญญาที่อ้างว่ามีการแก้ไขและปลอมนั้นเลย กลับมีคำขอบังคับให้โจทก์รับผิดต่อการกระทำของเจ้าหน้าที่ของโจทก์อันเป็นการขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายในมูลฐานละเมิดที่บุคคลภายนอกคดีกระทำต่อจำเลย ฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ประกอบกิจการขนส่งสินค้าขาออกนอกประเทศได้ทำคำขอเบิกเงินล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิตสัญญาซื้อขายกับโจทก์ร่วม 7 ฉบับ เป็นการเบิกเงินล่วงหน้าเพื่อเป็นค่าสินค้าซึ่งจำเลยที่ 1 ทำสัญญาจัดส่งไปยังลูกค้าในต่างประเทศ รวมเป็นเงิน 14,200,000 บาท จำเลยที่ 1 ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือและได้รับเงินไปจากโจทก์ครบถ้วนในวันทำสัญญาแล้ว จำเลยที่ 1 ได้สัญญาว่าจะจัดการส่งมอบเอกสาต่าง ๆ ให้แก่โจทก์ภายในเวลาที่กำหนด และยินยอมให้โจทก์ใช้สิทธิหักเงินที่โจทก์เรียกเก็บจากลูกค้าของจำเลยถ้าโจทก์เก็บเงินจากลูกค้าไม่ได้หรือได้ไม่พอ จำเลยที่ 1 ยอมชำระให้จนครบ ในการนี้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันไว้ เมื่อจำเลยที่ 1 เบิกเงินล่วงหน้าจากโจทก์ไปแล้ว จำเลยที่ 1 ไม่ส่งสินค้าไปให้ลูกค้าจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเอกสารส่งให้โจทก์ และโจทก์ไม่มีเอกสารที่จะใช้สิทธิเก็บเงินจากลูกค้าของจำเลยที่ 1 ได้ จำเลยที่ 1 จึงผิดสัญญาและต้องนำเงินที่รับไปคืนโจทก์เป็นเงิน 13 ล้านบาทเศษ ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยทำคำขอเบิกเงินล่วงหน้าและไม่เคยรับเงิน จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่เคยทำสัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 3 ถึง 10 และสัญญาค้ำประกันทั้งหมดเจ้าหน้าที่ของโจทก์คือนายสิรพรกับนายสุชาติสมคบกับนายประเมินร่วมกันแก้ไขและทำปลอมขึ้น โดยมีเจตนาจะล้มเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทในเครือ หนี้ทั้งหมดหากจะมีโจทก์ก็มีนายประเมินเป็นผู้ค้ำประกันอยู่แล้วโจทก์ไม่ฟ้องนายประเมิน แต่กลับให้เครดิต นายประเมินตั้งบริษัทไทยเพลเลทส์จำกัด ขึ้นใหม่ โดยมีเจตนาที่จะล้มกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 และบริษัทในเครือนอกจากนั้นนายประเมินผู้บริหารกิจการของจำเลยที่ 1 ได้ยื่นฟ้องขอเลิกบริษัทจำเลยที่ 1 และขอตั้งผู้ชำระบัญชีอ้างว่าขาดทุนแต่ศาลได้พิพากษาว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ไม่ขาดทุน นายประเมินจึงสมคบกับเจ้าหน้าที่ของโจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอาศัยหลักฐานที่ทำปลอมขึ้น เพื่อบีบบังคับให้จำเลยต้องเลิกล้มกิจการ และได้มีหนังสืออายัดเงินไปตามธนาคารต่าง ๆ เพื่อมิให้บริษัทนำเงินมาหมุนเวียนทำการค้า จำเลยต้องหยุดการค้าคิดเป็นค่าเสียหายประมาณ 12 ล้านบาท แต่จำเลยยากจนไม่มีเงินค่าธรรมเนียมศาลจึงฟ้องแย้งโจทก์ให้รับผิดชอบต่อการกระทำของนายสิรพรและนายสุชาติเป็นเงิน 500,000 บาท และขอให้ยกฟ้องโจทก์
ศาลชั้นต้นสั่งรับคำให้การของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ส่วนฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิมจึงไม่รับ
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์ขอให้รับฟ้องแย้ง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคำฟ้องเดิมของโจทก์เป็นเรื่องฟ้องเรียกร้องให้จำเลยที่ 1ชดใช้เงินเบิกล่วงหน้าตามเลตเตอร์ออฟเครดิต สัญญาซื้อขาย และให้จำเลยที่ 2ที่ 3 รับผิดชดใช้เงินในฐานะผู้ค้ำประกันอันเป็นมูลกรณีฐานผิดสัญญาถึงแม้ตามฟ้องแย้งของจำเลยจะกล่าวอ้างว่านายสิรพรและนายสุชาติเจ้าหน้าที่ของโจทก์สมคบกับนายประเมินคนของบริษัทจำเลยที่ 1 ร่วมกันแก้ไขและปลอมเอกสารสัญญาต่าง ๆ ที่โจทก์นำมาฟ้องในคดีนี้ก็ตาม แต่ฟ้องแย้งของจำเลยหาได้มีคำขอบังคับให้เพิกถอนทำลายเอกสารสัญญาที่จำเลยอ้างว่ามีการแก้ไขและปลอมขึ้นนั้นเลยกลับมีคำขอบังคับให้รับผิดชอบต่อการกระทำของนายสิรพรและนายสุชาติเป็นเงิน 500,000 บาท อันเป็นการขอให้โจทก์ชดใช้ค่าเสียหายมูลฐานละเมิดที่บุคคลภายนอกคดีกระทำต่อจำเลย ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับคำฟ้องเดิมของโจทก์ไม่เกี่ยวกันฟ้องแย้งของจำเลยจึงเป็นเรื่องอื่นไม่เกี่ยวกับคำฟ้องเดิมของโจทก์
พิพากษายืน