คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6608/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่1จำเลยร่วมย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่1ผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่1ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา887ทั้งนี้แม้จำเลยที่1ไม่ได้แจ้งอุบัติเหตุให้จำเลยร่วมทราบตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยก็ตามก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยที่1เท่านั้นโจทก์เป็นบุคคลภายนอกสัญญาจำเลยร่วมในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะนำเงื่อนไขดังกล่าวในกรมธรรม์ประกันภัยมาใช้บังคับโจทก์ด้วยไม่ได้ คดีนี้โจทก์ฟ้องตามสัญญาประกันภัยเพื่อเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงมีอายุความ2ปีนับแต่วันวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา882วรรคหนึ่งคดีนี้เกิดวินาศภัยในวันที่23เมษายน2534แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมวันที่27กรกฎาคม2535จึงยังไม่เกิน2ปีนับแต่วันวินาศภัยคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2534 เวลาประมาณ23.30 นาฬิกา นายชูเกียรติ นิมมานนิตย์ ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน 9จ-0330 กรุงเทพมหานคร หยุดรอสัญญาณไฟจราจรอยู่บริเวณแยกเพชรพระราม แขวงทุ่งพญาไทเขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ได้ขับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ม-8420 นครปฐม ไปในทางการที่จ้างหรือตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 ด้วยความประมาทใช้ความเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดและมิได้เว้นระยะให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรจึงเป็นเหตุให้รถคันที่จำเลยที่ 1 ขับชนรถคันที่นายชูเกียรติขับได้รับความเสียหาย โจทก์ในฐานะผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่นายชูเกียรติขับได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยแล้วจำนวน 10,680 บาท จึงรับช่วงสิทธิที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสอง แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉยโจทก์ขอคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองนับแต่วันที่โจทก์ใช้ค่าเสียหายให้ผู้เอาประกันภัยเป็นเงิน 600 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 11,280 บาทแก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีจากต้นเงิน 10,680 บาท นับถัดวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
ศาลชั้นต้นให้รับคำฟ้องอย่างคดีมโนสาเร่
จำเลยที่ 1 ไม่ยื่นคำให้การและไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์จำเลย
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2และขอให้เรียกบริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัด ผู้รับประกันภัยค้ำจุน จำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมจะรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาประกันภัยคดีนี้ผู้เอาประกันภัยไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขและข้อกำหนดตามสัญญาประกันภัยข้อ 1.4 และข้อ 1.10 จำเลยร่วมจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เหตุรถชนเกิดวันที่ 23 เมษายน 2534โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2535 เกินอายุความละเมิด 1 ปีคดีโจทก์จึงขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 11,280 บาท แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงิน10,680 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยร่วมอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยร่วมฎีกาว่าจำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งอุบัติเหตุให้จำเลยร่วมทราบนั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อจำเลยร่วมเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนจำเลยที่ 1 จำเลยร่วมย่อมต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในนามของจำเลยที่ 1 ผู้เอาประกันภัยเพื่อความวินาศภัยอันเกิดแก่อีกบุคคลหนึ่งและซึ่งจำเลยที่ 1ผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 887 ทั้งนี้แม้ข้อเท็จจริงฟังจะได้ว่า จำเลยที่ 1 ไม่ได้แจ้งอุบัติเหตุให้จำเลยร่วมทราบตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์ประกันภัยก็ตามก็เป็นเรื่องระหว่างจำเลยร่วมกับจำเลยที่ 1 เท่านั้น โจทก์เป็นบุคคลภายนอกสัญญาจำเลยร่วมในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจะนำเงื่อนไขตามข้อ 1.4 และ ข้อ 1.10 ในกรมธรรม์ประกันภัยเอกสารหมายล.1 มาใช้บังคับโจทก์ด้วยไม่ได้
ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า โจทก์ขอหมายเรียกจำเลยร่วมให้รับผิดในมูลละเมิดเกินกำหนด 1 ปี นับแต่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้จะพึงต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนคดีของโจทก์จึงขาดอายุความนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องตามสัญญาประกันภัยเพื่อเรียกให้จำเลยร่วมผู้รับประกันภัยรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนจึงมีอายุความ 2 ปี นับแต่วันวินาศภัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคแรกคดีนี้เกิดวินาศภัยในวันที่ 23 เมษายน 2534 แต่โจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกจำเลยร่วมเข้ามาเป็นจำเลยร่วมวันที่27 กรกฎาคม 2535 จึงยังไม่เกิน 2 ปี นับแต่วันวินาศภัยคดีของโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
พิพากษายืน

Share