คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 660/2560

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกระทำความผิดฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลาง ซึ่งมาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 โดยลำพังไม่ใช่บทความผิดในตัวเองและมีระวางโทษของตัวเอง แต่บัญญัติให้ผู้พยายามกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ การกระทำของจำเลยซึ่งต้องด้วยความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบ ป.อ. มาตรา 80, 83 จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียว ไม่ใช่ความผิดต่อกฎหมายหลายบท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66, 100, 100/1 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 7, 10 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 และวางโทษจำเลยสามเท่าของความผิดฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่าย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 86 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้วางโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ซึ่งได้กำหนดให้วางโทษเช่นเดียวกับกระทำความผิดสำเร็จ อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตามกฎหมายต้องระวางโทษ (ฐานเป็นผู้สนับสนุน) เป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดดังกล่าวตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 จึงให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 9 ปี 12 เดือน คำให้การชั้นสอบสวนและทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจของการรถไฟแห่งประเทศไทย ตำแหน่งพนักงานกั้นถนน สถานีแควน้อย ตำบลมะขามสูง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2556 เวลาประมาณ 15 นาฬิกา เจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 เข้าทำการจับกุมจำเลยในป้อมกั้นทางรถไฟแควน้อย หมู่ที่ 6 ตำบลมะขามสูง อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก พร้อมกับยึดเงินที่ใช้ล่อซื้อได้จากจำเลยซึ่งเป็นธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 3 ฉบับ ฉบับละ 500 บาท 1 ฉบับ และฉบับละ 100 บาท 5 ฉบับ รวม 4,000 บาท เป็นของกลาง แล้วหลังจากนั้นในเวลาใกล้เคียงกันเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมดังกล่าวยังจับกุมนายพัชระ ซึ่งขับรถจักรยานยนต์มาที่ป้อมดังกล่าวพร้อมกับยึดเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.266 กรัม ได้จากนายพัชระเป็นของกลาง คดีในส่วนของนายพัชระ ซึ่งให้การรับสารภาพนั้น ศาลพิพากษาลงโทษแล้ว
คดีมีปัญหาวินิจฉัยในชั้นนี้ตามฎีกาของจำเลยเพียงว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์หรือไม่ พิเคราะห์แล้ว เหตุที่สิบตำรวจเอกนราธิป กับร้อยตำรวจตรีพนาดร พยานโจทก์ ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจากกองกำกับการสืบสวนตำรวจภูธรภาค 6 มาที่ศาลาคอยรถโดยสารใกล้กับป้อมเกิดเหตุในชุดนอกเครื่องแบบพร้อมเงินที่ใช้ล่อซื้อของกลางเนื่องจากนางสาวชัญญากรหรือโก้ ที่สิบตำรวจเอกนราธิปโทรศัพท์ติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีน 20 เม็ด ในราคา 4,000 บาท ก่อนหน้านั้นบอกให้ไปรอยังจุดดังกล่าว สิบตำรวจเอกนราธิปไม่รู้จักจำเลยดังฎีกาของจำเลยและไม่รู้ว่าจำเลยมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติดมาก่อน หากมิใช่เป็นเพราะจำเลยออกมาเรียกให้เข้าไปในป้อมเกิดเหตุ ไม่มีเหตุที่สิบตำรวจเอกนราธิปจะเข้าไปข้างใน และหากมิใช่เป็นเพราะจำเลยสอบถามว่ามีเงินมาครบหรือไม่ ไม่มีเหตุที่สิบตำรวจเอกนราธิปจะมอบเงินที่ใช้ล่อซื้อของกลางให้จำเลยไป ยากที่จะเป็นไปได้ว่าอยู่ดี ๆ สิบตำรวจเอกนราธิปจะยัดเงินที่ใช้ล่อซื้อใส่มือจำเลยเพื่อให้นำไปให้นางสาวชัญญากรอดีตภริยาดังที่จำเลยเบิกความต่อสู้ และหากมิใช่เป็นเพราะจำเลยเป็นผู้บอกว่าเมทแอมเฟตามีนอยู่ที่ชายวัยรุ่นหรือนายพัชระที่กำลังขับรถจักรยานยนต์มาจอดที่ป้อมเกิดเหตุในเวลาใกล้เคียงกันหลังจากสิบตำรวจเอกนราธิปสอบถามถึงเมทแอมเฟตามีนแล้วก็ยากที่พยานโจทก์กับพวกจะรู้ได้ว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางที่ติดต่อล่อซื้อจากนางสาวชัญญากรอยู่กับนายพัชระและสามารถจับกุมนายพัชระได้ทันทีที่มาถึงพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลางที่อยู่ในมือข้างซ้าย ทั้งหลังจากมีการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ของจำเลยกับนายพัชระก็ปรากฏว่าในช่วงก่อนมีการจับกุมมีการติดต่อกันระหว่างจำเลยกับนางสาวชัญญากรและระหว่างนายพัชระกับนางสาวชัญญากรตามหมายเลขโทรศัพท์ของนางสาวชัญญากรที่สิบตำรวจเอกนราธิปโทรศัพท์ติดต่อล่อซื้อเมทแอมเฟตามีนตามบันทึกข้อมูลการใช้โทรศัพท์ ซึ่งจำเลยเบิกความยอมรับว่าก่อนมีการจับกุมมีการใช้โทรศัพท์ติดต่อกันระหว่างจำเลยกับนางสาวชัญญากรจริง แม้โจทก์จะไม่มีร้อยตำรวจโทวุฒิไกร เจ้าพนักงานตำรวจในชุดจับกุมคดีนี้อีกคนหนึ่งมาเบิกความดังฎีกาของจำเลยก็ตาม พยานหลักฐานโจทก์ก็มีน้ำหนักมั่นคงรับฟังลงโทษจำเลยได้ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง การพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางรายนี้ ปรากฏชัดเจนว่าเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำ เริ่มแต่นางสาวชัญญากรทำหน้าที่ติดต่อซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกับสิบตำรวจเอกนราธิปทางโทรศัพท์ จำเลยทำหน้าที่เป็นผู้ตรวจนับและรับเงินจากสิบตำรวจเอกนราธิป และมีนายพัชระทำหน้าที่นำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาส่งยังป้อมเกิดเหตุที่จำเลยกับสิบตำรวจเอกนราธิปคอยอยู่ แม้เมทแอมเฟตามีนของกลางจะไม่ได้อยู่ที่จำเลย หากแต่อยู่ที่นายพัชระขณะนำมาที่ป้อมเกิดเหตุแล้วถูกจับกุมทันทีเมื่อมาถึง โดยยังไม่ทันมีการส่งมอบ ก็ต้องถือว่าจำเลยร่วมเป็นตัวการในการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางรายนี้ มิใช่เพียงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดในการพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนของกลางดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษา รวมตลอดทั้งมาตรา 7 แห่งพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 โดยลำพังไม่ใช่บทความผิดในตัวเองและมีระวางโทษเป็นของตัวเอง เป็นแต่บัญญัติให้ผู้พยายามกระทำความเกี่ยวกับยาเสพติดต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จ การกระทำของจำเลยซึ่งต้องด้วยความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 จึงเป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียวไม่ใช่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทดังที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามา ปัญหาดังกล่าวมานี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจแก้ไขและปรับบทที่ถูกต้องลงโทษจำเลยได้โดยไม่เพิ่มเติมโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง, 212 ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ.2550 มาตรา 3
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7, 10 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดต่อกฎหมายบทเดียว ไม่ใช่เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ส่วนโทษและนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share