แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 5 กำหนดว่าถ้าจะต้องดำเนินการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นสมควรจะมีมติให้ดำเนินการเวนคืนตามบทแห่งพระราชบัญญัตินี้แทนก็ได้และจะตราพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนไว้ก่อนก็ได้ พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม เขตบางกะปิ เขตห้วยขวาง เขตคลองเตย และเขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2533 จึงเป็นกฎหมายที่ตราขึ้นใช้บังคับตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน โดยมีมติของคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา – อาจณรงค์ ทางหลวงคู่ขนานที่กรุงเทพมหานครสร้างก็อยู่ในแนวที่ดินที่จะต้องเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สร้างทางพิเศษในรูปทางด่วนและมีถนนคู่ขนานตลอดแนวทางด่วน ทั้งทางด่วนและถนนคู่ขนานหรือทางหลวงคู่ขนานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นทางพิเศษตามความหมายในประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 290 ข้อ 1 ด้วย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วนโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2534 เพื่อให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ได้มีหนังสือไปยังโจทก์แจ้งการเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ โจทก์ได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 แจ้งการวางเงินค่าทดแทนและกำหนดเวลาให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและโจทก์ได้รับหนังสือนั้นแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ดำเนินการตามมาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้ว การกระทำของจำเลยทั้งสี่จึงเป็นการกระทำที่มีกฎหมายให้อำนาจให้กระทำได้ และได้กระทำการดังกล่าวภายในกรอบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ
แม้ที่ดินและบ้านของโจทก์จะไม่อยู่ในแนวเขตที่ใช้ก่อสร้างทางพิเศษ โดยอยู่พ้นจากแนวเขต 80 เมตร แต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กำหนดแนวเขตและใช้ที่ดินของโจทก์บางส่วนในการเป็นทางระบายน้ำเพื่อสร้างทางหลวง การที่กำหนดให้ที่ดินและบ้านของโจทก์อยู่ในแนวเขตที่จะเวนคืนตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว
พ.ศ. 2533 ตรงบริเวณที่กำหนดไว้เพื่อสร้างทางแยกต่างระดับก็ดี ล้วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างทางพิเศษและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา – อาจณรงค์ตาม พระราชกฤษฎีกาจึงมิได้อยู่นอกวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่ เขตลาดพร้าว
พ.ศ. 2533
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่เพิกถอนการกำหนดแนวเขตเวนคืนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่กำหนดให้ที่ดินและบ้านของโจทก์อยู่ในเขตเวนคืน ห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองหรือรบกวนการครอบครองที่ดินและบ้านของโจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองหรือรบกวนการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 187393 ตำบลลาดพร้าว อำเภอบางกะปิ (ลาดพร้าว) กรุงเทพมหานคร ส่วนที่เหลือจากการขุดคลองระบายน้ำอีก 399 ตารางวา และบ้านเลขที่ 12/2 หมู่ที่ 5 ซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินดังกล่าว และยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสี่ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลยทั้งสี่ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ขอให้เพิกถอนการกำหนดแนวเขตเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องอ้างว่า พ.ร.ฎ. กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว เขตบึงกุ่ม เขตบางกะปิ เขตห้วยขวาง เขตคลองเตย และเขตพระโขนง พ.ศ. 2533 ออกโดยอาศัยอำนาจตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ข้อ 22 เพื่อสร้างทางพิเศษเท่านั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงหามีอำนาจสำรวจและกำหนดแนวเขตหรือเวนคืนสร้างทางหลวงแต่ประการใดและพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวไม่ได้ระบุให้อำนาจดำเนินการเพื่อสร้างทางหลวงของกรุงเทพมหานคร จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จึงไม่มีอำนาจทำการสำรวจและกำหนดแนวเขต ตลอดจนเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เพื่อสร้างทางหลวง จึงขอให้ศาลเพิกถอนการกำหนดแนวเขตเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่กำหนดให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของโจทก์อยู่ในเขตเวนคืน ดังนี้ จึงเห็นควรวินิจฉัยก่อนว่าการสำรวจและกำหนดแนวเขตเวนคืนของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นการกระทำที่ไม่มีอำนาจตามที่โจทก์อ้างมาในคำฟ้องหรือไม่ ในข้อนี้ เห็นว่า พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว
พ.ศ. 2533 เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นใช้บังคับตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 มาตรา 5 ซึ่งพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ได้กำหนดให้จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนโดยมีมติของคณะรัฐมนตรีให้ดำเนินการสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา – อาจณรงค์ ที่มีทางหลวงคู่ขนานที่กรุงเทพมหานครสร้างอยู่ในแนวเขตที่ดินที่จะต้องเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ การที่คณะรัฐมนตรีมีมติให้สร้างทางพิเศษในรูปทางด่วนและมีถนนคู่ขนานตลอดแนวทางด่วน ทั้งทางด่วนและถนนคู่ขนานหรือทางหลวงคู่ขนานดังกล่าวถือได้ว่าเป็นทางพิเศษตามความหมายในประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 290 ข้อ 1 ด้วย ต่อมาคณะรัฐมนตรีได้ กำหนดให้การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวเป็นกรณีที่มีความจำเป็นโดยเร่งด่วนโดยประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 31 มกราคม 2534 เพื่อให้จำเลยที่ 1 มีอำนาจเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์นั้น ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 ซึ่งจำเลยที่ 1 ก็ได้มีหนังสือไปยังโจทก์แจ้งการเข้าครอบครองหรือใช้อสังหาริมทรัพย์ทั้งแจ้งการวางเงินค่าทดแทนและกำหนดเวลาให้โจทก์รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างและโจทก์ได้รับหนังสือนั้นแล้ว อันเป็นการดำเนินการตามมาตรา 30 แห่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 แล้ว ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสี่ จึงเป็นการกระทำที่มีกฎหมายให้อำนาจให้กระทำได้ และได้กระทำการดังกล่าวภายในกรอบที่กฎหมายได้กำหนดไว้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีอำนาจกระทำได้โดยชอบ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสี่ให้เพิกถอนการกำหนดแนวเขตเวนคืนที่ดินและสิ่งปลูกสร้างตามสำเนาแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกาและห้ามจำเลยทั้งสี่เข้าครอบครองที่ดินและ สิ่งปลูกสร้างของโจทก์ได้
ส่วนที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 กำหนดแนวเขตและใช้ที่ดินของโจทก์บางส่วนในการเป็นทางระบายน้ำเพื่อสร้างทางหลวง การที่กำหนดให้ที่ดินและบ้านของโจทก์อยู่ในแนวเขตที่ดินจะเวนคืนตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว
พ.ศ. 2533 ตรงบริเวณที่กำหนดไว้เพื่อสร้างทางแยกต่างระดับก็ดี ล้วนเกี่ยวข้องกับการก่อสร้างทางพิเศษและเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างทางพิเศษสายรามอินทรา – อาจณรงค์ตามพระราชกฤษฎีกา จึงมิได้อยู่นอกวัตถุประสงค์ของพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่จะเวนคืนในท้องที่เขตลาดพร้าว
พ.ศ. 2533 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.