คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 659/2511

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 655 กฎหมายยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เป็นพิเศษ ทั้งนี้ แม้เมื่อรวมดอกเบี้ยทบต้นเข้าด้วยกันจะทำให้จำนวนดอกเบี้ยเกินร้อยละ15 ต่อปี ก็ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3
ข้อตกลงของจำเลยที่ยอมให้โจทก์ซึ่งเป็นธนาคารพาณิชย์คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือน โดยโจทก์เรียกดอกเบี้ยอยู่แล้วในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีนั้น เป็นข้อตกลงตามประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัด จึงใช้ได้ ไม่เป็นโมฆะ
เมื่อการคิดดอกเบี้ยทบต้นจะกระทำได้เพราะมีประเพณีการค้าเช่น ให้คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัด ถ้าบัญชีเดินสะพัดนั้นมีการหักทอนหนี้และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัด ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 856, 859 และลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ซึ่งลูกหนี้จะเบิกเงินเกินบัญชีอีกไม่ได้ย่อมไม่มีเหตุที่ธนาคารจะอ้างมาคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไปทั้งมาตรา 224 วรรคสองก็บัญญัติมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
ตามปกติการผิดนัดย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญา แต่กรณีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้มีสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือ การเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลูกหนี้ในธนาคารขึ้นอีกชั้นหนึ่งเมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้ว การชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือ ให้กระทำเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว ฉะนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้วคู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไป ก็เห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัดจนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้ว
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 11-12/2511)

ย่อยาว

คดีทั้ง ๒ สำนวนนี้ศาลชั้นต้นสั่งให้ร่วมการพิจารณาพิพากษาไปด้วยกัน
สำนวนคดีแรก (คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗๗/๒๕๐๖ ของศาลแพ่ง)นายเดือน บุนนาค เป็นโจทก์ฟ้อง นายถวิล ยมกกุล จำเลยที่ ๑ และธนาคารเอเชีย จำเลยที่ ๒ ขอให้ศาลสั่งเพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินโฉนดที่ ๔๗๐๙ ระหว่างโจทก์ กับจำเลยที่ ๒ ซึ่งโจทก์อ้างว่าตกเป็นโมฆะ และขอให้จำเลยที่ ๒ คืนโฉนดที่ ๔๗๐๙ ให้โจทก์
สำนวนที่ ๒ (คดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๒๔๗๘/๒๕๐๖ ของศาลแพ่ง)ธนาคารเอเซีย เป็นโจทก์ฟ้อง นายซิวคี้ แซ่โง้ว จำเลยที่ ๑นายเดือน บุนนาค จำเลยที่ ๒ ว่าจำเลยที่ ๑ เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันไว้กับธนาคารเอเซีย เมื่อวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๔๙๕จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีจากธนาคารเอเซียเป็นเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท โดยตกลงกันว่าจำเลยที่ ๑ จะได้เบิกเงินจากธนาคารเอเซียตามจำนวน และเวลาที่จำเลยที่ ๑ ต้องการ จำเลยที่ ๑ยอมเสียดอกเบี้ยให้ธนาคารเอเซียในอัตราร้อยละ ๑๒ ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกเดือนเนื่องจากการให้กู้ และการกู้นี้เป็นไปตามประเพณีการค้าของธนาคาร จำเลยที่ ๑ สัญญาว่า ถ้าผิดนัดไม่ส่งดอกเบี้ยตามสัญญา จำเลยที่ ๑ ยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้น จำเลยที่ ๑ ได้นำโฉนดที่ดินเลขที่ ๓๐๖๔ ของนายทองดีพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างมอบให้ธนาคารเอเซียไว้เป็นประกัน โดยนายทองดีได้ทำหนังสือมอบฉันทะให้โจทก์เพื่อให้โจทก์นำไปทำสัญญาจำนองที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวเป็นประกัน ต่อมาจำเลยที่ ๑ เบิกเงินเกินบัญชีไปจากโจทก์และบางครั้งจำเลยที่ ๑ ก็นำเงินเข้าบัญชีหมุนเวียนยอมชำระให้โจทก์บ้าง เพียงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ จำเลยที่ ๑เป็นหนี้ธนาคารเอเซียโจทก์รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ย ๑๗๖,๘๒๖.๘๔ บาทและในวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน นั้น จำเลยที่ ๑ ทำหนังสือกู้เงินเบิกเงินเกินบัญชีให้โจทก์อีกฉบับหนึ่งเป็นการรับว่าจำเลยที่ ๑เป็นลูกหนี้โจทก์ตามจำนวนดังกล่าว และยอมคิดดอกเบี้ยให้โจทก์ให้โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี และจะผ่อนชำระให้โจทก์ให้หมดสิ้นภายในวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๔๙๙ และได้กำหนดวิธีการชำระดอกเบี้ยทบต้นและหลักประกันการชำระหนี้ตามสัญญาเดิม ต่อมานายทองดีมีหนังสือถึงโจทก์ขอโฉนดเลขที่ ๓๐๖๔ คืน โดยจะนำโฉนดเลขที่ ๔๗๐๙ ของจำเลยที่ ๒ มาเปลี่ยนเพื่อให้ทำจำนองค้ำประกันหนี้สินของจำเลยที่ ๑แทนโฉนดที่ดินของนายทองดีโจทก์ยินยอม จำเลยที่ ๑ และนายทองดีจึงนำโฉนดเลขที่ ๔๗๐๙ ของจำเลยที่ ๒ พร้อมทั้งหนังสือมอบอำนาจของจำเลยที่ ๒ เพื่อให้ทำจำนองที่ดินพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างกับโจทก์จำเลยที่ ๑ ผิดนัดไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยให้โจทก์ วันที่ ๓๐เมษายน ๒๕๐๑ โดยปกติธุรกิจและเป็นไปตามประเพณีการค้าของธนาคารโจทก์จึงได้จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ ๔๗๐๙ พร้อมทั้งสิ่งปลูกสร้างของจำเลยที่ ๒ ตามที่ตกลงกันเพื่อเป็นประกันหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ค้างชำระต่อโจทก์เป็นเงิน ๑๗๖,๘๒๖.๘๔ บาท จำเลยที่ ๒ ยอมเสียดอกเบี้ยให้โจทก์ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี กำหนดส่งดอกเบี้ยเป็นรายเดือนทุกเดือน และยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นด้วย ต่อมาจำเลยที่ ๑ไม่ชำระหนี้ โจทก์แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบ และบอกกล่าวบังคับจำนองให้จำเลยที่ ๒ ชำระหนี้ จำเลยทั้งสองก็ไม่ชำระหนี้ เมื่อคำนวณหนี้ที่จำเลยที่ ๑ จะต้องชำระให้โจทก์ตามวิธีการคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีของธนาคารในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปีแล้วจำเลยที่ ๑ ค้างชำระตั้งแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๐๑ จนถึงวันฟ้องจำเลยทั้งสองคงเป็นหนี้และต้องชำระให้โจทก์รวมทั้งสิ้น ๒๗๓,๗๙๐.๙๒บาท จึงขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ชำระเงิน ๒๗๓,๗๙๐.๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินดังกล่าว ในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของโจทก์ และตามสัญญาให้โจทก์ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ ชำระเงินให้โจทก์เป็นการไถ่ถอนการจำนองที่ดินตามฟ้อง ฯลฯ
นายซิวคี้ แซ่โง้ว จำเลยที่ ๑ และนายเดือน บุนนาค จำเลยที่ ๒ให้การว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง ๒๘,๙๗๓ บาท ไม่ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เป็นเงินรวมถึง ๑๗๖,๘๒๖.๘๔บาท จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดเสียดอกเบี้ยเฉพาะจำนวนเงินที่เบิกไปร้อยละ ๑๒ ต่อปี ถึงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เป็นเงินเพียง๓๑,๕๓๙ บาท โจทก์จะคิดดอกเบี้ยทบต้นไม่ได้ ข้อตกลงฝ่าฝืนกฎหมายสัญญาลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ เป็นสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีเช่นเดียวกับสัญญาฉบับลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๔๙๕ ซึ่งต้องถือตามบัญชีเดินสะพัดระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ถือตามจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญา ส่วนดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๑๕ ต่อปี ก็คิดทบต้นไม่ได้ จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดตามบัญชีเดินสะพัดฉบับลงวันที่ ๑๖พฤศจิกายน ๒๔๙๘ ถึงวันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๐๑ เป็นเงินเพียง ๖๘,๐๗๓.๐๓บาท ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๐๑ เป็นเงินเพียง๖๘,๐๗๓.๐๓ บาท ส่วนดอกเบี้ยตั้งแต่วันที่ ๑๘ มิถุนายน ๒๕๐๑ จนถึงวันฟ้องโจทก์ได้นำดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยมาคำนวณ เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยที่ ๑ ไม่เคยรับสภาพหนี้ ไม่เคยนำโฉนดเลขที่ ๔๗๐๙ของจำเลยที่ ๒ ไปมอบให้โจทก์ทำจำนองประกันการเบิกเงินเกินบัญชีจำเลยที่ ๒ ไม่เคยค้ากับโจทก์ ไม่เคยมอบอำนาจให้นายถวิลไปทำการจำนองที่ดินโฉนดที่ ๔๗๐๙ ของจำเลยที่ ๒ สัญญาจำนองเป็นโมฆะ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นายซิวคี้หรือคี้ แซ่โง้ว ชำระเงิน๒๗๓,๗๙๐.๙๗ บาท พร้อมดอกเบี้ยในเงินต้นดังกล่าวในอัตราร้อยละ๑๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (๑๗ ธันวาคม ๒๕๐๑) จนกว่าจะชำระเสร็จโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารและตามสัญญาแก่ธนาคารเอเซียฯ ถ้านายซิวคี้ไม่ชำระก็ให้นายเดือนบุนนาค จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่ธนาคารเอเซียฯ เป็นเงิน ๑๗๖,๘๒๖.๘๔บาท ตามสัญญาจำนอง ล.๑๗ และ ล.๑๘ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ๑๕ ต่อปี ในต้นเงินดังกล่าว ตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จโดยคิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนตามประเพณีการค้าของธนาคารอันเป็นการไถ่ถอนการจำนองตามฟ้อง ถ้านายเดือนจำเลยที่ ๒ ไม่ชำระก็ให้ยึดทรัพย์สินที่จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้ให้ธนาคารจนครบจำนวนตามที่นายเดือนจะต้องรับผิด ให้ยกฟ้องนายเดือน บุนนาค ในคดีดำที่ ๓๒๒๓/๒๕๐๑ (หมายถึงคดีแพ่งแดงที่ ๒๔๗๗/๒๕๐๖ ของศาลแพ่ง) เสีย
นายเดือน บุนนาค ในฐานะเป็นโจทก์และจำเลย และนายซิวคี้จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
นายเดือน บุนนาค ในฐานะเป็นโจทก์และในฐานะเป็นจำเลยกับนายซิวคี้จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเชื่อว่านายเดือนจำเลยมอบโฉนดเลขที่ ๔๗๐๙ พร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างและหนังสือมอบฉันทะของนายเดือนให้ธนาคารยึดถือไว้เป็นประกันนั้นเป็นการมอบโดยตกลงยินยอมให้ธนาคารเอเซียฯนำไปทำสัญญาจำนองได้ ฉะนั้นสัญญาจำนองหมาย ล.๑๗ และ ล.๑๘ จึงเป็นสัญญาที่ชอบด้วยกฎหมาย ใช้บังคับได้และฟังว่า รายการเช็คสั่งจ่ายเงินของนายซิวคี้ในบัญชีกระแสรายวัน หมาย ล.๑ รวม ๑๙ ฉบับนั้นถูกต้องและนายซิวคี้ได้ออกเช็คเหล่านั้นจริง ฎีกาของนายซิวคี้และนายเดือน ฟังไม่ขึ้น
นายเดือนและนายซิวคี้ฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ธนาคารเอเซียจะเรียกดอกเบี้ยทบต้นจากนายซิวคี้ไม่ได้ ข้อสัญญาที่ยอมให้ธนาคารคิดดอกเบี้ยทบต้น เป็นข้อสัญญาที่ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ ข้อตกลงดังกล่าวตกเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้
ที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๖๕๕ ในกรณีเกี่ยวกับประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดหรือในการค้าอย่างอื่นทำนองเดียวกัน กฎหมายยอมให้คิดดอกเบี้ยทบต้นได้เป็นพิเศษ ทั้งนี้ แม้เมื่อคิดดอกเบี้ยทบต้นรวมเข้าด้วยแล้ว จะทำให้จำนวนดอกเบี้ยเกินร้อยละ ๑๕ ต่อปี ก็ไม่ขัดต่อพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. ๒๔๗๕ มาตรา ๓ข้อตกลงของนายซิวคี้ที่ยอมให้ธนาคารเอเซียฯ คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนโดยธนาคารเรียกดอกเบี้ยอยู่แล้วในอัตราร้อยละ ๑๕ต่อปีนั้น ก็เป็นข้อตกลงตามประเพณีการค้าที่คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัดจึงใช้ได้ไม่เป็นโมฆะ แต่ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาเห็นว่าเมื่อการคิดดอกเบี้ยทบต้นจะกระทำได้ เพราะมีประเพณีการค้าขายเช่น ให้คำนวณดอกเบี้ยทบต้นในบัญชีเดินสะพัด ถ้าบัญชีเดินสะพัดนั้นมีการหักทอนหนี้และเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลืออันเป็นการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดตามนัยแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๘๕๖, ๘๕๙ และลูกหนี้ผิดนัดแล้ว ซึ่งลูกหนี้จะเบิกเงินเกินบัญชีอีกไม่ได้ ย่อมไม่มีเหตุที่ธนาคารจะอ้างมาคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ต่อไป ทั้งมาตรา ๒๒๔ วรรค ๒ ก็บัญญัติมิให้คิดดอกเบี้ยซ้อนดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัด
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามปกติการผิดนัดย่อมเกิดขึ้นทันทีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนดเวลาในสัญญา แต่กรณีสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีเป็นข้อตกลงของคู่สัญญาที่จะให้มีสัญญาบัญชีเดินสะพัด คือการเบิกเงินเกินบัญชีในบัญชีเงินฝากกระแสรายวันของลูกหนี้ในธนาคารขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เมื่อมีการปฏิบัติตามสัญญาบัญชีเดินสะพัดกันแล้วการชำระหนี้ย่อมจะต้องปฏิบัติตามวิธีการของสัญญาบัญชีเดินสะพัดคือให้กระทำเมื่อมีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือนั้นแล้ว ฉะนั้น เมื่อครบกำหนดระยะเวลาที่ระบุไว้ในสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีแล้ว คู่สัญญายังคงให้บัญชีเดินสะพัดเดินอยู่ต่อไปก็เห็นได้ว่าคู่สัญญายังไม่ถือว่ามีการผิดนัด จนกว่าจะได้มีการหักทอนบัญชีและเรียกร้องให้ชำระเงินคงเหลือแล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าได้มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดและนายซิวคี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้ในจำนวนเงินคงเหลือในวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๔๙๙ กับดอกเบี้ยทบต้นในวันที่ ๓๑ ตุลาคม ๒๔๙๙ อีกเดือนหนึ่งรวมเป็นจำนวนเงิน๒๐๓,๙๗๗.๖๓ บาท
ฉะนั้น ตามมติที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาดังกล่าวข้างต้นธนาคารเอเซียฯ จะคิดดอกเบี้ยทบต้นในเงินจำนวน ๒๐๓,๙๗๗.๖๓ บาทต่อไปไม่ได้ นายซิวคี้คงต้องรับผิดชอบชำระต้นเงินจำนวน ๒๐๓,๙๗๗.๖๓บาท กับดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน๒๔๙๙ เป็นต้นไป
สำหรับนายเดือนปรากฏว่านายถวิลได้นำใบมอบอำนาจของนายเดือนไปทำสัญญาจำนองหมาย ล.๑๗ และ ล.๑๘ ค้ำประกันนายซิวคี้ต่อธนาคารเอเซียฯ สำหรับหนี้ต้นเงินจำนวน ๑๗๖,๘๒๖.๘๐ บาท เมื่อวันที่๓๐ เมษายน ๒๕๐๑ ฉะนั้นเมื่อธนาคารเอเซียจะคิดดอกเบี้ยทบต้นแก่นายซิวคี้ไม่ได้ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ๒๔๙๙ ดังได้วินิจฉัยมาแล้วธนาคารเอเซียฯ ย่อมไม่มีโอกาสคิดดอกเบี้ยทบต้นในหนี้จำนองจำนวน๑๗๖,๘๒๖.๘๐ บาท นั้นจากนายเดือนได้เลย นายเดือนคงต้องรับผิดชอบเฉพาะหนี้จำนองจำนวน ๑๗๖,๘๒๖.๘๐ บาท กับดอกเบี้ยร้อยละสิบห้าต่อปีตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๑ เป็นต้นไป
จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นว่า ให้นายซิวคี้หรือคี้ แซ่โง้ว ชำระเงินจำนวน ๒๐๓,๙๗๗.๖๓ บาทแก่ธนาคารเอเซียฯพร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปี ตั้งแต่วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๔๙๙จนกว่าจะชำระเสร็จ ทั้งนี้ ให้ถือว่าเงินที่ส่งเข้าบัญชีเงินฝากของนายซิวคี้ภายหลังวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ เป็นการชำระหนี้แก่ธนาคารเอเซียฯ ส่วนหนึ่ง ถ้านายซิวคี้ไม่ชำระหนี้ดังกล่าวให้นายเดือน บุนนาค รับผิดชอบชำระเงินแก่ธนาคารเอเซียฯ เป็นจำนวนไม่เกิน ๑๗๖,๘๒๖.๘๔ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยร้อยละ ๑๕ ต่อปีในจำนวนเงินที่ต้องรับผิดตั้งแต่วันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๐๑ จนกว่าจะชำระเสร็จ อันเป็นการไถ่ถอนจำนอง ถ้านายเดือนไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองขายทอดตลาดชำระหนี้

Share