คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6576/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องในส่วนเกี่ยวกับความเสียหายบรรยายว่าจำเลยทั้งสองระเบิดและย่อยหินนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตจำนวนสองครั้ง แต่ละครั้งคิดเป็นพื้นที่เท่าใดและปริมาตรเท่าใด รวมทั้งปริมาตรหินที่จำเลยทั้งสองเอาไปเป็นจำนวนเท่าใด จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันคืนหินแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ให้ชดใช้ราคาพร้อมด้วยดอกเบี้ย เป็นคำฟ้องที่แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ส่วนวิธีการคำนวณหาปริมาตรหินดังกล่าวเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสามต้องนำสืบในชั้นพิจารณา ไม่จำเป็นต้องบรรยายไว้ในคำฟ้อง คำฟ้องจึงไม่เคลือบคลุม
จำเลยที่ 2 หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ 1 ระเบิดและย่อยหินนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตในกิจการและวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จนถูกดำเนินคดีอาญาและศาลพิพากษาลงโทษแล้ว โจทก์ทั้งสามผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และดำเนินกิจการส่วนจังหวัดเกี่ยวกับที่ดินดังกล่าว ย่อมมีสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของรัฐรวมทั้งเรียกค่าเสียหายทั้งปวงแทนรัฐจากจำเลยทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง
วิธีการคำนวณหาปริมาตรหินที่โจทก์ทั้งสามนำมาใช้คำนวณหาปริมาตรหินพิพาทที่ฟ้องโจทก์ที่ 3 เคยใช้คำนวณเพื่อเรียกเก็บค่าตอบแทนเป็นรายปีจากจำเลยที่ 1 ผู้รับอนุญาตระเบิดและย่อยหินโดยจำเลยทั้งสองไม่เคยปฏิเสธความถูกต้องและยอมรับปฏิบัติตาม จึงผูกพันจำเลยทั้งสอง ฟังได้ว่าหินพิพาทมีจำนวนตามฟ้อง และศาลล่างทั้งสองกำหนดราคาหินพิพาทด้วยการเทียบเคียงกับราคาจำหน่ายทั่วไปชอบแล้ว
จำเลยทั้งสองฎีกาว่าในหินพิพาทแต่ละลูกบาศก์เมตร มีหินดินและทรายปะปนรวมกัน ทั้งบริเวณที่เกิดเหตุมีหินมากกว่าดิน ในการคำนวณปริมาตรหินพิพาทต้องหักปริมาตรดินออกตามสัดส่วนก่อน เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงนอกเหนือจากที่กล่าวไว้ในคำให้การ จึงเป็นฎีกาในข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 ต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหิน ๘๙,๒๔๔ ลูกบาศก์เมตร ซึ่งได้จากการระเบิดและย่อยหินในพื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้แก่โจทก์ทั้งสาม โดยนำไปคืนและประกอบไว้ยังสถานที่เดิม หากคืนไม่ได้ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ราคา ๑๗,๘๔๘,๘๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน ๑๐,๗๐๙,๒๘๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๙) จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งสาม กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความ ๓๐,๐๐๐ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
ระหว่างระยะเวลาอุทธรณ์ จำเลยที่ ๒ ถึงแก่กรรม นางพจนา ศรีเจริญ ทายาทและผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ ๒ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลชั้นต้นอนุญาต
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าทนายความในชั้นอุทธรณ์ ๕,๐๐๐ บาท แทนโจทก์ทั้งสาม
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาแล้วได้ความตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสามว่า จำเลยทั้งสองระเบิดและย่อยหินนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ๒ ครั้ง ครั้งแรกเนื้อที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๕๖ ตารางวา ครั้งที่สองเนื้อที่ ๓ ไร่ ๓ งาน ๒๓ ตารางวา รวมเนื้อที่ที่จำเลยทั้งสองระเบิดและย่อยหินนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต ๖ ไร่ ๗๙ ตารางวา คิดเป็นปริมาตรหินที่จำเลยทั้งสองเอาไปโดยมิชอบ ๘๙,๒๔๔ ลูกบาศก์เมตร จำเลยทั้งสองต้องร่วมกันคืนหินแก่โจทก์ หากคืนไม่ได้ก็ให้ชดใช้ราคาพร้อมด้วยดอกเบี้ย เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามเป็นคำฟ้องที่แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๒ วรรคสอง แล้ว ที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามไม่บรรยายการหาปริมาตรหินจากภูเขาว่ากว้าง ยาว สูง ลาดเอียง และมีเส้นรอบวงหรือเส้นผ่าศูนย์กลางอย่างไร ทำให้จำเลยทั้งสองไม่เข้าใจว่าโจทก์ทั้งสามคำนวณหาปริมาตรหินด้วยวิธีใดนั้น เห็นว่า วิธีการคำนวณหาปริมาตรหินที่จำเลยทั้งสองระเบิดและย่อยหินเป็นเพียงรายละเอียดที่โจทก์ทั้งสามต้องนำสืบในชั้นพิจารณา หาจำต้องบรรยายไว้ในคำฟ้องไม่ ทั้งปริมาตรหินที่คำนวณได้ก็เพื่อนำไปคำนวณหาจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองต้องชดใช้หากจำเลยทั้งสองไม่สามารถทำให้พื้นที่ที่ตนระเบิดและย่อยหินนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ อันเป็นคำขอบังคับท้ายคำฟ้องในลำดับถัดมา คำฟ้องของโจทก์ทั้งสามจึงไม่เคลือบคลุม ฎีกาของจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
กรณีปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่า จำเลยที่ ๒ หุ้นส่วนผู้จัดการจำเลยที่ ๑ ระเบิดและย่อยหินนอกพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตในกิจการและวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ ๑ จนถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมดำเนินคดีฐานยึดถือครอบครองทำอันตรายแก่ทรัพยากรในที่ดินของรัฐ และศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษแล้ว โจทก์ที่ ๑ ผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน โจทก์ที่ ๒ ผู้มีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาและดำเนินการคุ้มครองป้องกันที่ดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินหรือของรัฐ และโจทก์ที่ ๓ ผู้มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการส่วนจังหวัดในเขตจังหวัดเลย ย่อมมีอำนาจติดตามและเอาคืนซึ่งทรัพย์สินของรัฐตลอดจนมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายทั้งปวงแทนรัฐจากจำเลยทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสามมิได้ฟ้องบังคับจำเลยทั้งสองเพื่อตนเป็นการส่วนตัว หากแต่เป็นการปฏิบัติราชการภายใต้กรอบอำนาจที่ตนมีอยู่ ส่วนผลประโยชน์หรือทรัพย์สินที่ได้จากการดำเนินคดีย่อมตกได้แก่แผ่นดินหรือรัฐ โจทก์ทั้งสามจึงมีอำนาจฟ้อง
เมื่อจำเลยทั้งสองมิได้ปฏิเสธวิธีคำนวณหาปริมาตรหินของโจทก์ทั้งสามมาแต่ต้น ทั้งไม่นำสืบปฏิเสธว่าสูตรคำนวณหาปริมาตรหินตามที่โจทก์อ้างไม่ถูกต้องอย่างไร และที่ถูกต้องแล้วควรเป็นอย่างไร เมื่อโจทก์ที่ ๑ กำหนดให้การเรียกเก็บค่าตอบแทนการระเบิดและย่อยหินตามจำนวนปริมาตรหินที่ได้จากการคำนวณทางคณิตศาสตร์ ตามลักษณะรูปพรรณสัณฐานของพื้นที่โดยประมาณซึ่งตามปกติจะใช้พื้นที่ฐานคูณกับความสูงหรือความลึก ในกรณีที่มีความลาดเอียงของเขาหรือภูเขาก็จะคำนวณด้วยการใช้ ๒ หาร ซึ่งจำเลยทั้งสองทราบดีมาก่อน และยึดถือเป็นทางปฏิบัติเพื่อชำระค่าตอบแทนแก่โจทก์ที่ ๓ ในแต่ละปีตลอดมา ย่อมเป็นที่เข้าใจกันทั้งสองฝ่ายว่าหากมีปัญหาเกี่ยวกับการคำนวณหาปริมาตรหินที่จำเลยทั้งสองระเบิดและย่อยหินแล้วต้องใช้สูตรคำนวณทางคณิตศาสตร์ดังที่โจทก์ทั้งสามนำสืบโดยไม่คำนึงถึงปริมาตรดินและทรายที่ปนรวมอยู่กับปริมาตรหินที่ได้ จึงผูกพันมิให้จำเลยทั้งสองโต้แย้งบ่ายเบี่ยงเป็นอย่างอื่นได้ และสำหรับการคำนวณราคาหินปริมาตร ๘๙,๒๔๔ ลูกบาศก์เมตร ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๔ เทียบเคียงราคาจำหน่ายหินโดยพิจารณาจากพยานหลักฐานที่คู่ความทั้งสองฝ่ายนำสืบแล้วกำหนดราคาหินลูกบาศก์เมตรละ ๑๒๐ บาท เป็นเงินที่จำเลยทั้งสองต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งสาม ๑๐,๗๐๓,๒๘๐ บาท นั้น เห็นว่า เหมาะสมแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งการละเมิดแล้ว
สำหรับฎีกาของจำเลยทั้งสองที่อ้างว่าในการกำหนดค่าสินไหมทดแทนต้องหักดินกับทรายออกจากจำนวนหิน และหักต้นทุนการผลิตออกจากราคาหินต่อลูกบาศก์เมตรด้วย ก็เป็นการกล่าวอ้างข้อเท็จจริงที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค ๔ ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๙ วรรคหนึ่ง อีกเช่นกัน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาแทนโจทก์ทั้งสาม โดยกำหนดค่าทนายความให้ ๑๕,๐๐๐ บาท.

Share