คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6570/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่2ไม่จำเป็นต้องลอกคำฟ้องคำให้การและทางพิจารณามาในอุทธรณ์ซ้ำอีกแต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา225บัญญัติไว้ว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่2บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่1และที่2ว่าร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน110,622บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จจำเลยที่2ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาไว้โดยชัดแจ้งเลยว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยคดีนี้อย่างไรคงโต้แย้งแต่คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อที่จำเลยที่2ไม่เห็นพ้องด้วยเท่านั้นอุทธรณ์ของจำเลยที่2จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยแจ้งชัดไม่ชอบด้วยกฎหมายดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของรถยนต์หมายเลขทะเบียน5ฉ-9600 กรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 11 กันยายน 2535 เวลาประมาณ11 นาฬิกา นายกรุงธนได้นำรถของโจทก์ไปซ่อมและตรวจเช็คเครื่องยนต์ที่อู่ซ่อมรถของจำเลยที่ 2 และในวันเดียวกันเวลาประมาณ 22 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2ได้นำรถของโจทก์ไปทดลองขับลองเครื่องตามคำสั่งของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 ขับรถของโจทก์ไปตามถนนรัตนาธิเบศร์ด้วยความประมาทเลินเล่อ โดยขับรถด้วยความเร็ว เป็นเหตุให้รถเสียหลักพุ่งชนศาลาที่พักผู้โดยสารหน้าร้านอาหารจวนทอง รถของโจทก์ได้รับความเสียหายทั้งคัน ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ 128,622 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ที่ 1 ขาดนัด ยื่นคำให้การ และ ขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยทั้งสองละเมิดต่อโจทก์อย่างไรความเสียหายที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากอุบัติเหตุ มิได้เกิดจากความประมาทของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 มิได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 2และจำเลยที่ 2 ไม่ได้สั่งให้จำเลยที่ 1 นำรถของโจทก์ไปทดลองขับขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 110,622 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า ฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 เป็นฟ้องอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมายเพราะจำเลยที่ 2ไม่จำเป็นต้องลอกคำฟ้อง คำให้การและทางพิจารณาซ้ำอีกเมื่อศาลอุทธรณ์มีข้อสงสัยอย่างใดก็สามารถตรวจสอบได้จากสำนวนนั้นเห็นว่า แม้จำเลยที่ 2 จะไม่จำเป็นต้องลอกคำฟ้อง คำให้การและทางพิจารณาซ้ำอีกตามที่ฎีกา แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 225 ก็ได้บัญญัติไว้ว่าข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จะยกขึ้นอ้างในการยื่นอุทธรณ์นั้นคู่ความจะต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งในอุทธรณ์ เมื่ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 บรรยายฟ้องแต่เพียงว่าโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่าร่วมกันทำละเมิดต่อโจทก์ศาลชั้นต้นได้พิจารณาพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินให้แก่โจทก์จำนวน 110,622 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 2,500 บาทจำเลยที่ 2 ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวโดยไม่ได้บรรยายข้อเท็จจริง ที่ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาไว้โดยชัดแจ้งเลยว่า ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยคดีนี้อย่างไร คงโต้แย้งแต่คำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นในข้อที่จำเลยที่ 2 ไม่เห็นพ้องด้วยเท่านั้น อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ได้กล่าวไว้โดยแจ้งชัดในอุทธรณ์ไม่ชอบตามบทกฎหมายดังกล่าวศาลอุทธรณ์ภาค 2ไม่รับวินิจฉัยให้ชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของจำเลยที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share