คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6565/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ข้อที่จำเลยฎีกาว่า คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาต้องถือข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีส่วนอาญา แม้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่ก็เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ คดีส่วนอาญา ศาลแขวงพระนครใต้พิพากษาลงโทษจำเลยศาลอุทธรณ์พิพากษากลับยกฟ้อง โจทก์ยังสามารถฎีกาได้อีก จำเลยมิได้ระบุว่าคดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุด จึงฟังไม่ได้ว่าคดีอาญาถึงที่สุดแล้ว ในคดีนี้จึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์จนเป็นเหตุให้โจทก์ได้รับอันตรายแก่กายเส้นเอ็นไหล่ขวาอักเสบและเส้นประสาทที่เกี่ยวกับการบังคับการเคลื่อนไหวของแขนขวาผิดปกติ จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยชดใช้เงินจำนวน159,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า โจทก์นำความเท็จมาฟ้องโดยมีสาเหตุเกิดจากโจทก์กับพวกร่วมกันทำให้ทรัพย์สินของจำเลยกับพวกเสียหาย จำเลยกับพวกจึงแจ้งความดำเนินคดีต่อโจทก์กับพวก โจทก์จึงแจ้งความดำเนินคดีต่อจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นให้เกิดอันตรายแก่กายและจิตใจซึ่งจำเลยไม่ได้ใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์แต่อย่างใด และเป็นการฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ชอบที่ศาลจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาส่วนอาญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน12,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน5,800 บาท แก่โจทก์
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาในทำนองว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ซึ่งในคดีอาญานั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไปแล้ว คดีนี้จึงต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ปัญหาดังกล่าวนี้จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาแต่เป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคสอง คดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาดังกล่าว คดีดังกล่าวศาลแขวงพระนครใต้ พิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดและลงโทษจำเลยส่วนศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ในคดีอาญาดังกล่าวจึงยังฎีกาได้ ทั้งตามฎีกาของจำเลยคดีนี้ก็ไม่ได้ระบุว่า คดีอาญาดังกล่าวคดีถึงที่สุดไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ กรณีจึงยังฟังไม่ได้ว่า ขณะนี้คดีอาญาดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว ดังนั้นในชั้นนี้ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวตามที่จำเลยฎีกา
พิพากษายืน

Share