คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6545/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฎีกาว่าทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2 ไม่ใช่เป็นของผู้ร้อง อันเป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์สินพิพาทไว้เพียง 71,000 บาท และโจทก์เองก็เห็นชอบในราคาประเมินดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็นทุนทรัพย์ในชั้นร้องขัดทรัพย์ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นได้พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 289,105 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 239,030 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยทั้งสามดังกล่าวร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยทั้งสามไม่ชำระโจทก์ได้ขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดี และนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ทรัพย์ที่โจทก์นำยึดคือจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมจำนวน 13 รายการ ไม่ใช่ของจำเลยที่ 2 แต่เป็นของผู้ร้อง ขอให้มีคำสั่งปล่อยทรัพย์ดังกล่าว
โจทก์ให้การว่า ในวันที่โจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปทำการยึดทรัพย์พิพาทนั้น ผู้ร้องไม่มีหลักฐานการเป็นเจ้าของมาแสดง ผู้ร้องยื่นคำร้องเพื่อประวิงการบังคับคดีขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ปล่อยจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมจำนวน 13 รายการ ที่โจทก์นำยึด
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาว่าจักรเย็บผ้าอุตสาหกรรมจำนวน 13 รายการ ที่โจทก์นำยึดเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 2ไม่ใช่เป็นของผู้ร้อง เป็นการโต้แย้งข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังมาซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง แต่เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาทรัพย์สินพิพาทไว้เพียง 71,000 บาท และโจทก์เองก็เห็นชอบในราคาประเมินดังกล่าว อันถือได้ว่าเป็นทุนทรัพย์ในชั้นร้องขัดทรัพย์ ย่อมต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์มาโดยไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาโจทก์

Share