แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 19 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น โจทก์ย่อมมีหน้าที่นำพยานเข้าเบิกความต่อศาลเพื่อให้เห็นสมจริงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ เพื่อจำหน่าย การที่ของกลางที่ยึดได้มีเป็นจำนวนมากจะสันนิษฐานว่าจำเลยมีของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ไม่ได้ แม้เมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมดจะมีจำนวน 19 เม็ด แต่ก็มีน้ำหนักรวมเพียง 1.854 กรัม โจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็น ว่าจำเลยจำหน่าย จ่าย แจก หรือมีไว้ซึ่งของกลางเพื่อจำหน่าย ทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์ใด ๆ ที่แสดงว่า จำเลยมี เมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงยกประโยชน์ แห่งความสงสัยในส่วนนี้ให้จำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟัง ได้เพียงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืน กฎหมายอันเป็นความผิดซึ่งมีโทษเบากว่า ศาลมีอำนาจที่จะ ลงโทษในความผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับ ความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 19 เม็ด หนัก 1.854 กรัมไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยฝ่าฝืนกฎหมายเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยได้พร้อมเมทแอมเฟตามีนดังกล่าว และธนบัตรจำนวน 9,700 บาทอันเป็นทรัพย์ที่จำเลยได้มาจากการจำหน่ายยาเสพติดไปแล้ว บางส่วนเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15, 66, 67, 102 และริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งจำคุก 6 ปี จำเลยรับสารภาพชั้นสอบสวน เป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 4 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง ส่วนเงินของกลางให้คืนแก่จำเลย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก 3 ปี4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจตรวจค้นยึดได้เมทแอมเฟตามีนจำนวน 19 เม็ด น้ำหนัก 1.854 กรัม ซุกซ่อนอยู่ในถังขยะซึ่งตั้งอยู่ข้างร้านค้าของจำเลยเป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายหรือไม่โจทก์มีนายดาบตำรวจเดโช ขุนทองจันทร์ และจ่าสิบตำรวจพิน เทพสุภา เบิกความว่า วันเกิดเหตุได้ร่วมกันตรวจค้นที่ร้านค้าของจำเลยซึ่งตั้งอยู่ในบริเวณปั๊มน้ำมันชื่อว่าจังโก้พบเมทแอมเฟตามีนซุกซ่อนอยู่ในถังขยะข้างร้านจำเลยรับว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย ได้แจ้งข้อหาแก่จำเลยว่ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการตรวจค้นและบันทึกจับกุมเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 ในข้อนี้จำเลยฎีกาว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางไม่ใช่ของจำเลย เหตุที่จำเลยให้การรับไปนั้นเนื่องจากจำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจข่มขู่ว่าจะจับนางจรัสศรี จุฬามณี พี่สาวจำเลย ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันและจะดำเนินการปิดปั๊มน้ำมันด้วยนั้น เห็นว่า ข้อต่อสู้ดังกล่าวของจำเลยไม่มีน้ำหนักและเหตุผลอันควรรับฟัง เพราะหากเมทแอมเฟตามีนของกลางไม่ใช่ของจำเลย จำเลยก็น่าจะแจ้งความจริงต่อผู้จับกุมแต่แรก บันทึกการจับกุมดังกล่าว เจ้าพนักงานตำรวจได้ทำขึ้นทันทีหลังจากได้จับกุมจำเลยแล้วโดยจำเลยยังไม่ทันคิดหาทางต่อสู้ข้อกล่าวหาของเจ้าพนักงานตำรวจ พยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลยเป็นเจ้าพนักงานตำรวจซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่น่าระแวงว่าจะกลั่นแกล้งปรักปรำจำเลย นอกจากนี้โจทก์ยังมีร้อยตำรวจโทพล วัชรปราการพนักงานสอบสวนซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมจำเลยก็เบิกความยืนยันว่า ชั้นสอบสวนเมื่อแจ้งข้อหาให้จำเลยทราบ จำเลยก็ให้การรับสารภาพ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.9 เมื่อนำคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวมาพิจารณาประกอบกับคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้จับกุมจำเลย เห็นได้ว่าคำเบิกความก็สอดคล้องต้องกันไม่มีพิรุธใด จึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ทุกปากเบิกความไปตามความเป็นจริงฟังได้ว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองจริงแต่การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน19 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นโจทก์ย่อมมีหน้าที่นำพยานเข้าเบิกความต่อศาลเพื่อให้เห็นสมจริงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย การที่จะถือเอาจำนวนของกลางที่ยึดได้ว่ามีเป็นจำนวนมากแล้วสันนิษฐานว่าจำเลยมีของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น น่าจะไม่ถูกต้องและตามข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบกลับได้ความจากคำเบิกความของนายดาบตำรวจเดโชที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า พยานไม่เคยให้สายลับไปล่อซื้อยาบ้า จากจำเลย และจากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจพินที่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าพยานทราบมาจากเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรตำบลนาขยาดว่าเคยให้สายลับไปล่อซื้อจากจำเลยหลายครั้ง แต่ไม่สามารถซื้อได้ แสดงว่าพยานหลักฐานโจทก์ไม่มีน้ำหนักในข้อหามีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเมื่อพิเคราะห์ถึงเมทแอมเฟตามีนของกลางทั้งหมดบรรจุใส่ถุงรวมกันไว้ แม้จะมีจำนวน 19 เม็ดแต่มีน้ำหนักรวมเพียง 1.854 กรัม ซึ่งไม่มากนัก ดังจะเห็นได้จากรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.8 ว่าเหลือจากการตรวจวิเคราะห์แล้วเพียง 0.860 กรัม โจทก์นำสืบแต่เพียงว่าสืบทราบมาว่ามีการลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่บริเวณปั๊มน้ำมันริมถนนเอเซีย ซึ่งอยู่ในพื้นที่สถานีตำรวจภูธร ตำบลนาขยาดเท่านั้น ดังนั้น เมื่อโจทก์ไม่มีพยานที่รู้เห็นว่าจำเลยจำหน่ายจ่ายแจก หรือมีไว้ซึ่งของกลางเพื่อจำหน่ายมาเบิกความต่อศาลทั้งไม่ปรากฏพฤติการณ์ใด ๆ ที่แสดงว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยในส่วนนี้ให้จำเลย ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยฝ่าฝืนกฎหมาย อันเป็นความผิดซึ่งมีโทษเบากว่า ซึ่งศาลมีอำนาจที่จะลงโทษในความผิดนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย และเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 67 ลงโทษจำคุก 2 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 1 ปี 4 เดือน ยกคำขอที่ให้ลงโทษตามมาตรา 66 วรรคหนึ่ง นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3