คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 652/2540

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่2เพื่อบังคับชำระหนี้เมื่อจำเลยที่2อ้างว่าเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบเพราะจำเลยที่2ไม่ทราบว่าถูกฟ้องแล้วจำเลยที่2ชอบที่จะขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นซึ่งจะทำให้คำพิพากษารวมทั้งการบังคับคดีอันเนื่องมาจากการพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาลเป็นอันถูกเพิกถอนไปด้วยเพราะศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นใหม่แต่จำเลยที่2ก็หาได้กระทำไม่จำเลยที่2กลับยินยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้นให้โจทก์ทั้งยังได้ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยที่2ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ครบถ้วนแล้วมีความประสงค์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์จำเลยที่2ยินดีชำระค่าธรรมเนียมตามระเบียบจึงขอถ่ายรายการค่าธรรมเนียมศาลเพื่อนำไปยื่นคำร้องขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมต่อศาลและจะนำค่าธรรมเนียมชำระให้เจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลังเนื่องจากจำเลยที่2ทราบจากเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าค่าธรรมเนียมดังกล่าวมากกว่าหนี้ที่จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาดังนี้ถือได้ว่าจำเลยที่2ได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบหลังจากได้ทราบเรื่องผิดระเบียบนั้นแล้วจำเลยที่2จะขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่ ตามคำร้องของจำเลยที่2ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่จำเลยที่2ขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและขอให้ยกเลิกค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ทั้งหมดเท่านั้นดังนั้นหากศาลฟังว่าจำเลยที่2ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนดังกล่าวก็ชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยที่2เสียกรณีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดจะต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์รับผิดในค่าธรรมเนียมยึดแล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นจากคำร้องของจำเลยที่2เป็นการไม่ชอบและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา142(5)ประกอบมาตรา246,247

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากเดิมโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหายจำนวน 148,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ 10 เมษายน 2535)จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีโดยกำหนดค่าทนายความ 3,500 บาท แต่จำเลยทั้งสองไม่ชำระเงินให้โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ร้องขอให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีและนำยึดที่ดิน 2 แปลง ตามโฉนดเลขที่ 51943, 51944 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าว ของจำเลยที่ 2 เพื่อขายทอดตลาดโดยตีราคา 8,180,000 บาท วันที่ 16 มีนาคม 2537 จำเลยที่ 2ได้นำเงินไปชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ครบถ้วนแล้วเป็นเงิน170,000 บาท
ต่อมาวันที่ 17 มีนาคม 2537 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 2 เพิ่งทราบว่าตนถูกฟ้องเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2537เนื่องจากไม่มีการปิดหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง และคำบังคับณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นเป็นการผิดระเบียบ ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และยกเลิกค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ทั้งหมด
โจทก์ยื่นคำแถลงคัดค้านว่า การส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องและคำบังคับให้จำเลยที่ 2 โจทก์นำส่งภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2เป็นการส่งหมายที่ชอบแล้ว จำเลยที่ 2 มิได้ใช้สิทธิขอพิจารณาใหม่แต่กลับยินยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 2ให้สัตยาบันแก่การพิจารณาที่จำเลยที่ 2 อ้างว่าผิดระเบียบนั้นแล้วทั้งจำเลยที่ 2 มิได้ยื่นคำร้องภายใน 8 วัน นับแต่วันรู้เรื่องการยึดทรัพย์ จำเลยที่ 2 จึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ ให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 ให้โจทก์รับผิดเสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่าย
โจทก์ และ จำเลย ที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 2 ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้นแล้ว จำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ขอให้ยกคำร้องนั้น เห็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ยื่นคำร้องอ้างว่าไม่มีการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้อง และคำบังคับ ณ ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นตั้งแต่นั้นมาจึงเป็นการไม่ชอบ และไม่มีผลตามกฎหมาย ดังนั้น การที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อปฏิบัติตามคำบังคับของศาลจึงเป็นการผิดระเบียบและไม่มีผลตามกฎหมายด้วย ขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 และยกเลิกค่าธรรมเนียมทั้งหมดตามคำร้องของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว เป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 แต่การเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 วรรคสอง บังคับอยู่ในตัวว่าคู่ความฝ่ายนั้นต้องมิได้ดำเนินการอันใดขึ้นใหม่หลังจากได้ทราบเรื่องผิดระเบียบแล้ว หรือต้องมิได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบนั้น ๆ คดีนี้ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ และโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ของจำเลยที่ 2 เพื่อบังคับชำระหนี้ เมื่อจำเลยที่ 2 อ้างว่าเป็นการพิจารณาที่ผิดระเบียบ เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าถูกฟ้องแล้ว ดังนี้ ก่อนยื่นคำร้องจำเลยที่ 2 ชอบที่จะขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้น ซึ่งจะทำให้คำพิพากษารวมทั้งการบังคับคดีอันเนื่องมาจากการพิจารณาที่ผิดระเบียบของศาล เป็นอันถูกเพิกถอนไปด้วยเพราะศาลจะต้องดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบนั้นใหม่ แต่จำเลยที่ 2ก็หาได้กระทำไม่ จำเลยที่ 2 กลับยินยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษานั้นให้โจทก์ ทั้งยังได้ยื่นคำแถลงต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าจำเลยที่ 2 ได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้โจทก์ครบถ้วนแล้วมีความประสงค์จะขอให้เจ้าพนักงานบังคับคดีถอนการยึดทรัพย์จำเลยที่ 2 ยินดีชำระค่าธรรมเนียมตามระเบียบ จึงขอถ่ายรายการค่าธรรมเนียมศาลเพื่อนำไปยื่นคำร้องขอลดหย่อนค่าธรรมเนียมต่อศาลและจะนำค่าธรรมเนียมชำระให้เจ้าพนักงานบังคับคดีภายหลังเนื่องจากจำเลยที่ 2 ทราบจากเจ้าพนักงานบังคับคดีว่าค่าธรรมเนียมดังกล่าวมากกว่าหนี้ที่จะต้องรับผิดตามคำพิพากษาจำเลยที่ 2 จึงยื่นคำแถลงนี้ ถือได้ว่าก่อนยื่นคำแถลง จำเลยที่ 2ได้ให้สัตยาบันแก่การผิดระเบียบหลังจากได้ทราบเรื่องผิดระเบียบนั้นแล้ว จำเลยที่ 2 จะขอให้เพิกถอนการยึดทรัพย์หาได้ไม่
ส่วนที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำสั่งศาลชั้นต้นให้โจทก์รับผิดในค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายนั้น เห็นว่า ตามคำร้องของจำเลยที่ 2ที่ยื่นต่อศาลชั้นต้นเป็นกรณีที่จำเลยที่ 2 ขอให้เพิกถอนการพิจารณาที่ผิดระเบียบและขอให้ยกเลิกค่าธรรมเนียมในการยึดทรัพย์ทั้งหมดเท่านั้น ดังนั้น หากศาลฟังว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีสิทธิยื่นคำร้อง ขอให้เพิกถอนดังกล่าวก็ชอบที่จะยกคำร้องของจำเลยที่ 2 เสีย กรณีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยว่าผู้ใดจะต้องรับผิดในค่าธรรมเนียมยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายแต่อย่างใด ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้โจทก์รับผิดในค่าธรรมเนียมดังกล่าวจึงเป็นเรื่องนอกประเด็นจากคำร้องของจำเลยที่ 2 เป็นการไม่ชอบและปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 142(5) ประกอบมาตรา 246, 247 คดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป
พิพากษากลับ ให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 2 และยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมเจ้าพนักงานบังคับคดีที่ยึดทรัพย์แล้วไม่มีการขายหรือจำหน่ายเสีย

Share