แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ฟ้องอ้างว่าพินัยกรรมปลอมเจ้ามรดกมิได้ทำขึ้นและว่าถ้าหากมีลายมือชื่อเจ้ามรดกก็เป็นเพราะถูกหลอกลวงให้หลงผิด ฯลฯ ทั้งพฤติการณ์ที่ทำให้เกิดพินัยกรรมนี้ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นการแสดงสภาพแห่งข้อหาขัดแย้งกันจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฟ้องว่าเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้โจทก์จึงขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมและขอให้สั่งว่าพินัยกรรมฉบับที่จำเลยอ้างว่าเจ้ามรดกทำให้จำเลยภายหลังนั้นไม่สมบูรณ์ด้วย
เมื่อปรากฏว่าคำฟ้องที่เกี่ยวกับขอให้ทำลายพินัยกรรมเคลือบคลุมก็ยังคงเหลือประเด็นตามคำฟ้องที่โจทก์ขอให้ศาลสั่งว่าโจทก์เป็นผู้รับมรดกตามพินัยกรรมฉบับแรกศาลต้องพิพากษาคดีต่อไป จะยกฟ้องเสียทีเดียวไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์จำเลยเป็นบุตรพระศิริผล และนางนุ่ม ๆ ตายเมื่อ พ.ศ. 2492 พระศิริผล ตายเมื่อ พ.ศ. 2496 พระศิริผล ทำพินัยกรรมลงวันที่ 26 สิงหาคม 2492 ยกทรัพย์อันเป็นมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น จำเลยอ้างว่าพระศิริผลทำพินัยกรรมให้อีกฉบับหนึ่งลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 โจทก์ยืนยันว่าพินัยกรรมของพระศิริผลฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2492 เป็นพินัยกรรมที่แท้จริงสมบูรณ์ใช้ได้ตามกฎหมาย ส่วนพินัยกรรมที่จำเลยกล่าวอ้างลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 เป็นพินัยกรรมที่ปลอมขึ้น ใช้ไม่ได้ตามกฎหมายเพราะความจริงพระศิริผลมิได้ทำพินัยกรรมลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 ขึ้นไว้เลย เอกสารฉบับที่จำเลยอ้างว่าเป็นพินัยกรรมนี้ถ้าหากมีลายมือชื่อพระศิริผลลงนามไว้ ก็เพราะพระศิริผลถูกหลอกลวงให้หลงผิดอันเกิดจากการกระทำของจำเลยในขณะที่พระศิริผลป่วยเจ็บสติหลงใหลฟั่นเฟือน ทั้งพฤติการณ์ที่ทำให้เกิดพินัยกรรมฉบับนี้ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายว่าด้วยการทำพินัยกรรม จึงขอให้ศาลพิพากษาให้โจทก์แต่ผู้เดียวเป็นผู้รับมรดกพระศิริผลตามพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2492 และให้สั่งว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 ซึ่งจำเลยอ้างไม่สมบูรณ์
จำเลยให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม และว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 ถูกต้องตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นงดสืบพยานและวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและวินิจฉัยต่อไปว่าไม่มีทางจะสั่งว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 ไม่สมบูรณ์และเห็นว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 ต้องด้วยข้อสันนิษฐานของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 ว่าสมบูรณ์ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่าฟ้องของโจทก์ไม่เคลือบคลุมรวมความแล้วเข้าใจได้ว่าพินัยกรรมของโจทก์แท้จริงสมบูรณ์ แม้จะกล่าวเลยไปถึงพินัยกรรมของจำเลยว่าไม่มี ไม่สมบูรณ์ก็เป็นการประกอบ จึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการต่อไปตามกระบวนความ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่าการอ้างในสถานหนึ่งว่าเป็นพินัยกรรมปลอมโดยเจ้ามรดกมิได้ทำขึ้นไว้ และอีกสถานหนึ่งว่าถ้าหากมีลายมือชื่อเจ้ามรดกลงนามไว้ก็เป็นเพราะถูกหลอกลวงให้หลงผิด ฯลฯ ทั้งพฤติการณ์ที่ทำให้เกิดพินัยกรรมนี้ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เป็นการแสดงสภาพแห่งข้อหาขัดแย้งกันเพราะข้อหาว่าพินัยกรรมถูกปลอมขึ้น กับข้อหาว่าเจ้ามรดกถูกหลอกลวงให้หลงผิดลงชื่อไว้ เพราะพฤติการณ์ที่ทำให้เกิดพินัยกรรมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้นเป็นข้อหาคนละเรื่องคนละอย่าง จะเป็นไปไม่ได้ทั้งสองอย่างในเวลาเดียวกันจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุมแสดงสภาพแห่งข้อหาไม่ชัดแจ้ง ไม่เป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง(อ้างฎีกา 51/2487, 493/2495)
การที่ศาลวินิจฉัยฟังว่าฟ้องตามข้อหาประการหลังเคลือบคลุมนั้น คงถือได้เพียงฟ้องนั้นตกไปไม่รับพิจารณาข้อหาอันเกิดจากฟ้องนั้นมิใช่รับฟังเลยไปได้ว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 เป็นพินัยกรรมที่ชอบด้วยกฎหมายอันจะเพิกถอนพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 26 สิงหาคม 2492 ซึ่งมีข้อความขัดแย้งกันเสียได้ตามความในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1697 ที่ศาลชั้นต้นอ้างประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 6 มาปรับฟังว่าพินัยกรรมฉบับลงวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2494 เป็นพินัยกรรมที่สมบูรณ์นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฉะนั้นคดีจึงยังมีประเด็นโต้เถียงกันตามฟ้องของโจทก์ประการแรกซึ่งจำเลยให้การต่อสู้ไว้อันจะต้องดำเนินการต่อไปตามกระบวนความ
จึงพิพากษายืน