คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6488/2538

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์ยื่นฟ้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่ารับคำฟ้อง หมายเรียกและสำเนาให้จำเลยแบบคดีมโนสาเร่ ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้ มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้องซึ่งเมื่อโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสอง ในครั้งแรกไม่ได้ โจทก์ได้ยื่นคำแถลงภายในกำหนด ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองอีกครั้งหนึ่งอันเป็นการปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวแล้ว ส่วนในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองครั้งที่สองนั้นศาลชั้นต้นไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดในกรณีที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ได้ ทั้งไม่ได้สั่งให้โจทก์นำส่ง และเมื่อศาลแขวงตลิ่งชันมีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2537 แต่ส่งไม่ได้ศาลชั้นต้นก็เพียงมีคำสั่งว่า “รอโจทก์แถลง” ทั้งเมื่อพนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นรายงานว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในครั้งที่สองให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้เมื่อวันที่6 กุมภาพันธ์ 2537 ศาลชั้นต้นก็เพียงมีคำสั่งเช่นเดิมว่า”รอโจทก์แถลง” โดยศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำสั่งที่สั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวทั้งสองฉบับให้โจทก์ทราบ ดังนั้นแม้โจทก์มิได้แถลงว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไปจนกระทั่งเจ้าหน้าที่ของศาลชั้นต้นรายงานเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2537 ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1และที่ 2 ไม่ได้ ถึง 25 วัน และ 32 วัน ตามลำดับแล้วก็ตามก็ไม่เป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 174(2)

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 20,210.25 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงิน 18,800.25 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ ต่อมาระหว่างการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสอง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงตามสำนวนได้ความว่าโจทก์ยื่นคำฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 2536 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันว่า “รับคำฟ้อง หมายเรียกและสำเนาให้จำเลยแบบคดีมโนสาเร่ ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง” พนักงานเดินหมายส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองในครั้งแรกไม่ได้ โจทก์ยื่นคำร้องขอตรวจสอบภูมิลำเนาของจำเลยทั้งสองเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2536 ศาลชั้นต้นอนุญาต ต่อมาวันที่ 14 มกราคม 2537โจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้อง โดยขอแก้ชื่อและภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์ยื่นคำแถลงในวันเดียวกันนั้นขอให้ส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องและสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง หากไม่พบจำเลยขอให้ปิดหมายโดยขอให้ศาลชั้นต้นมีหนังสือแจ้งให้ศาลแขวงตลิ่งชันซึ่งจำเลยที่ 2 มีภูมิลำเนาอยู่ในเขตอำนาจส่งหมายเรียก ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นอนุญาตให้ปิดหมายเฉพาะจำเลยที่ 2ส่วนจำเลยที่ 1 ให้ส่งโดยวิธีธรรมดา โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องและสำเนาคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องดังกล่าว แต่ไม่ได้เป็นผู้นำส่ง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2537ศาลแขวงตลิ่งชันมีหนังสือแจ้งผลการส่งหมายเรียก สำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที่ 2 ต่อศาลชั้นต้น โดยปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ของศาลดังกล่าวว่า ได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องดังกล่าวแต่ไม่ได้เป็นผู้นำส่ง วันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2537 ศาลแขวงตลิ่งชันมีหนังสือแจ้งผลการส่งหมายเรียกสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยที 2ต่อศาลชั้นต้น โดยปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ของศาลดังกล่าวว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่30 มกราคม 2537 แต่ส่งไม่ได้เพราะไม่พบบ้านเลขที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2537 ว่า “รอโจทก์แถลง”ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2537 พนักงานเดินหมายรายงานต่อศาลชั้นต้นว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้แก่จำเลยที่ 1เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2537 แต่ส่งไม่ได้เพราะไม่พบจำเลยที่ 1ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่นั้นในวันเดียวกันว่า”รอโจทก์แถลง” ต่อมาวันที่ 4 มีนาคม 2537 เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5 ของศาลชั้นต้น รายงานต่อศาลชั้นต้นว่าโจทก์มิได้แถลงต่อศาลภายใน 7 วันนับแต่วันส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองไม่ได้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกันนั้นว่า โจทก์ไม่ดำเนินกระบวนพิจารณาภายในเวลาที่กำหนดถือว่าทิ้งฟ้อง จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำสั่งจำหน่ายคดีของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ที่โจทก์ฎีกาว่า เมื่อส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองในครั้งแรกไม่ได้แล้ว ศาลไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เป็นผู้มีหน้าที่ในการนำส่งหมายเรียกอีก และเมื่อพนักงานศาลส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองครั้งใหม่ไม่ได้ ศาลก็มีคำสั่งในรายงานการส่งหมายเพียงว่า “รอโจทก์แถลง” โดยไม่ได้มีการแจ้งคำสั่งศาลหรือกำหนดให้โจทก์ดำเนินการใด ๆ ภายในระยะเวลาที่กำหนดให้แก่โจทก์ซึ่งไม่ได้อยู่ในศาลในเวลาที่ศาลมีคำสั่งทราบโจทก์จึงไม่ทราบคำสั่งศาลนั้น เห็นว่า ในการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งว่า “รับคำฟ้อง” หมายเรียกและสำเนาให้จำเลยแบบคดีมโนสาเร่ ให้โจทก์นำส่งภายใน 7 วัน ถ้าส่งไม่ได้ให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายใน 7 วัน นับแต่วันส่งไม่ได้มิฉะนั้นถือว่าโจทก์ทิ้งฟ้อง” ซึ่งเมื่อโจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองในครั้งแรกไม่ได้ โจทก์ได้ยื่นคำแถลงเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2537 ขอให้ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองอีกครั้งหนึ่ง โจทก์จึงได้ปฏิบัติตามคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นแล้ว ส่วนในการส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองครั้งที่สองนั้นไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งให้โจทก์แถลงเพื่อดำเนินการต่อไปภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดในกรณีที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้แก่จำเลยทั้งสองไม่ได้แต่อย่างใด และเมื่อศาลแขวงตลิ่งชันมีหนังสือแจ้งให้ศาลชั้นต้นทราบผลการส่งหมายและสำเนาคำฟ้องในครั้งที่สองให้แก่จำเลยที่ 2 โดยปรากฏจากรายงานเจ้าหน้าที่ของศาลดังกล่าวว่าได้นำหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องไปส่งให้จำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2537 แต่ส่งไม่ได้เพราะไม่พบบ้านเลขที่ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ศาลชั้นต้นก็มีเพียงคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวว่า “รอโจทก์แถลง”ทั้งเมื่อพนักงานเดินหมายของศาลชั้นต้นรายงานว่าส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องในครั้งที่สองให้แก่จำเลยที่ 1 ไม่ได้เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2537 ศาลชั้นต้นก็เพียงมีคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่เช่นเดิมว่า “รอโจทก์แถลง” โดยศาลชั้นต้นมิได้ส่งคำสั่งในรายงานเจ้าหน้าที่ดังกล่าวทั้งสองฉบับให้โจทก์ทราบแต่อย่างใด ดังนั้นแม้โจทก์มิได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่าจะดำเนินการอย่างไร ต่อไปจนกระทั่งเจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5ของศาลชั้นต้นรายงานต่อศาลชั้นต้นเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2537ซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากวันที่ส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ไม่ได้ถึง 25 วัน และ 32 วันตามลำดับก็ตาม ก็ย่อมไม่เป็นกรณีที่โจทก์เพิกเฉยไม่ดำเนินคดีภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนดไว้เพื่อการนั้นโดยได้ส่งคำสั่งนั้นให้แก่โจทก์โดยชอบแล้ว อันเป็นการทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174(2) ซึ่งศาลชั้นต้นชอบที่จะจำหน่ายคดีออกจากสารบบความได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 132(1) ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าโจทก์ทิ้งฟ้องและจำหน่ายคดีออกจากสารบบความและศาลอุทธรณ์ภาค 2พิพากษายืนนั้น จึงไม่ชอบ”
พิพากษากลับ ให้โจทก์นำส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลยทั้งสองใหม่ภายในเวลาที่ศาลชั้นต้นกำหนด แล้วให้ศาลชั้นต้นดำเนินการต่อไป

Share