คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6479/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เหตุเกิดในเวลากลางวันต่อหน้าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองสอดคล้องตรงกันและให้การหลังเกิดเหตุไม่กี่วันก็ยืนยันว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย จึงเชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับ การที่ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองมาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลว่าจำเลยไม่ใช่คนร้ายก็ดี จำคนร้ายไม่ได้เลยก็ดี เป็นการเบิกความบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดต่อเหตุผลคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองเชื่อได้ว่าเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาของศาล เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นแล้ว ย่อมมีน้ำหนักรับฟังลงโทษจำเลยได้ ขณะเกิดเหตุ พวกของจำเลยถามผู้ตายว่า มึงยิงพ่อกูใช่หรือไม่ผู้ตายตอบว่าไม่ พวกของจำเลยก็ใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนยิงซ้ำ เช่นนี้ การที่จำเลยกับพวกไปยิงผู้ตายก็เพื่อแก้แค้น จึงเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,289(4), 83 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(4), 83 ลงโทษประหารชีวิตจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่าตามวันเวลา และสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ได้มีคนร้ายสามคนร่วมกันใช้อาวุธปืนยิงนายสนอง จันทร์แจ่มศรี ถึงแก่ความตาย ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยมีว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยหรือไม่ โจทก์มีนางวรรณา รินรส นางกิ้มให้ พรหมสุทธิ์ เป็นประจักษ์พยานนางวรรณาเบิกความว่า รู้จักคนร้ายทั้งสามคน คือ นายธงชัยไชยคชบาล นายปรีชา เกศรินทร์ และนายสุรินทร์ แผ่นทอง หลังจากนายธงชัยใช้อาวุธปืนยาวเอ็ม 16 ยิงผู้ตายแล้วนายปรีชา เกศรินทร์ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด เมื่อโจทก์ถามว่านายปรีชาเกศรินทร์ อยู่ในห้องพิจารณาหรือไม่ พยานดูแล้วเบิกความว่าจำเลยไม่ใช่นายปรีชา เกศรินทร์ ที่พยานรู้จัก ส่วนนางกิ้มให้พรหมสุทธิ์ เบิกความว่าไม่รู้จักคนร้ายทั้งสามมาก่อน เมื่อคนร้ายคนแรกใช้อาวุธปืนยาวยิงผู้ตายแล้ว คนร้ายคนที่สองก็ใช้อาวุธสั้นยิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด คนร้ายที่ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย คือจำเลยพยานชี้ตัวจำเลย แต่ตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่า จำหน้าคนร้ายไม่ได้เลย ซึ่งคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสองปากดังกล่าวแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนของพยานทั้งสองที่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2528 โดยพยานให้การยืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่าคนร้ายที่ยิงผู้ตายคือ นายธงชัยกับจำเลย ปรากฏตามบันทึกคำให้การของพยานเอกสารหมาย จ.2 และ จ.3 นางนับ จันทร์แจ่มศรีมารดาผู้ตาย ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่ที่ 6 และนายสุคนธ์ ชนะสุขผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 ท้องที่เกิดเหตุ พยานโจทก์เบิกความว่ารู้จักจำเลยมานานจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่หมู่ที่ 1 ซึ่งอยู่ติดกับท้องที่หมู่ที่ 6 และข้อเท็จจริงยังได้ความว่า ผู้ตายรู้จักกับนายธงชัยพวกของจำเลย ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองต่างเป็นภรรยาของผู้ตาย อาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับผู้ตายจึงน่าจะรู้จักจำเลยดังที่ได้ให้การไว้ในชั้นสอบสวน ขณะเกิดเหตุเป็นเวลากลางวันก่อนคนร้ายยิงผู้ตายคนร้ายได้พูดจากับผู้ตายด้วย เมื่อคนร้ายขึ้นมาบนบ้านจึงยิงผู้ตายต่อหน้าประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสอง ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองย่อมมีโอกาสเห็นและจำคนร้ายได้แม่นยำ ไม่ผิดตัวการที่นางวรรณาเบิกความในตอนหลังว่าจำเลยไม่ใช่นายปรีชาเกศรินทร์ ที่พยานรู้จักก็ดี นางกิ้มให้เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยว่าจำคนร้ายไม่ได้เลยก็ดี ก็คงกลัวคำขู่ของนายธงชัยพวกของจำเลยมากกว่าจึงเบิกความบ่ายเบี่ยงไปอย่างขัดต่อเหตุผลเห็นว่า คำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองสอดคล้องตรงกันและให้การหลังเกิดเหตุไม่กี่วัน ตอนให้การก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้ เชื่อว่า ได้ให้การไปตามความจริงตามที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุผลจูงใจหรือถูกบังคับแต่อย่างใด เมื่อพิจารณาคำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองประกอบกับคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองดังกล่าวในชั้นศาลแล้ว น่าเชื่อว่าคนร้ายที่ใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตาย คือคนที่ชื่อนายปรีชาเกศรินทร์ และนายปรีชา เกศรินทร์ คนนั้นคือ จำเลยนี้ นอกจากนี้โจทก์ยังมีนางนับ จันทร์แจ่มศรี นายสุคนธ์ ชนะสุข จ่าสิบตำรวจอภิชาติ หนุมาศ และร้อยตำรวจตรีปรีชา แกล้วทนงค์ พนักงานสอบสวนเบิกความตรงกันว่า ประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองได้บอกกับพยานดังกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยระบุชื่อจำเลยว่าเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายซึ่งเป็นระยะเวลากระชั้นชิดกับเวลาเกิดเหตุ เมื่อพิจารณาพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบกันทั้งพยานโจทก์ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคงฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ด้วยพยานหลักฐานของจำเลยที่นำสืบอ้างฐานที่อยู่เลื่อนลอย ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้ ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยกับพวกได้ฆ่าผู้ตายโดยไตร่ตรองไว้ก่อนหรือไม่เห็นว่าข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความของประจักษ์พยานโจทก์ทั้งสองว่า ขณะเกิดเหตุนายธงชัยได้ถามผู้ตายว่า มึงยิงพ่อกูใช่หรือไม่เมื่อผู้ตายตอบว่าไม่ นายธงชัยก็ใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิงผู้ตายทันที แล้วจำเลยใช้อาวุธปืนสั้นยิงผู้ตายซ้ำอีก 2 นัด ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า จำเลยกับพวกไปยิงผู้ตายเพื่อแก้แค้นที่บิดาของนายธงชัยถูกยิงตาย ซึ่งถือได้ว่าเป็นการฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยมานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน

Share