แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์ 3,719,572.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของต้นเงิน 3,355,338.18 บาท นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระ โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้โดยบังคับจำนองเอาจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 ถ้ายังไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิดำเนินการบังคับคดีโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาจนกว่าจะครบถ้วนได้ ไม่จำเป็นต้องระบุในคำพิพากษาว่าหากบังคับจำนองเอาจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 แล้วได้เงินไปพอชำระหนี้ ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2538 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทำสัญญากู้เบิกเงินบัญชีและสัญญากู้ยืมเงินกับโจทก์รวมเป็นเงิน 3,000,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดขณะทำสัญญาร้อยละ 16 ต่อปี โดยจำเลยที่ 3 จดทะเบียนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 14978 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 และที่ 2 หากผิดสัญญาต้องบังคับเอาทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาด ได้เงินไม่พอชำระหนี้ยอมใช้เงินในส่วนที่ขาดจนครบ ต่อมาวันที่ 9 ธันวาคม 2542 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับโจทก์เพื่อผ่อนปรนเงื่อนไขการชำระหนี้ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ยอมรับว่าค้างชำระหนี้โจทก์ตามสัญญากู้ยืมเงินเป็นเงินต้น 773,429.74 บาท และดอกเบี้ยค้างชำระอีกจำนวน 114,027.88 บาท และหนี้กู้เบิกเงินเกินบัญชี เป็นเงิน 2,581,908.45 บาท จำเลยที่ 1 และที่ 2 ผ่อนชำระหนี้ให้แก่โจทก์บางส่วนแล้วผิดนัดไม่ชำระหนี้ตามสัญญา โจทก์ทวงถามบอกเลิกสัญญาและบอกกล่าวบังคับจำนองแล้ว แต่จำเลยทั้งสามเพิกเฉย ยอดหนี้ค้างชำระทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 4,658,607.33 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงิน 4,658,607.33 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 3,355,338.19 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยทั้งสามไม่ชำระหรือชำระไม่ครบ ให้ยึดทรัพย์จำนองตลอดจนทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนกว่าจะครบ
จำเลยทั้งสามให้การต่อสู้คดี ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณา โจทก์ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องเฉพาะจำเลยที่ 1 ศาลชั้นต้นอนุญาตและจำหน่ายคดีจำเลยที่ 1 ออกจากสารบบความ และจำเลยที่ 2 และที่ 3 แถลงขอถอนคำให้การทั้งหมดและยอมรับตามฟ้องโจทก์ทุกประการ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถอนคำให้การได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระเงิน 3,719,572.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปี ของต้นเงิน 3,355,338.19 บาท นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 14978 ตำบลท่าทราย อำเภอเมืองนนทบุรี (ตลาดขวัญ) จังหวัดนนทบุรี พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากได้เงินไม่พอให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ให้แก่โจทก์จนครบ ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 นำมาชำระหนี้ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้หรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นระบุเพียงว่า หากได้เงินไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 3 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระให้แก่โจทก์จนครบ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์ไม่สามารถบังคับคดียึดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาให้แก่โจทก์จนครบถ้วนได้นั้น เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 รับผิดชำระหนี้ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 3,719,572.30 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อปีของต้นเงิน 3,355,338.19 บาท นับแต่วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2546 จนกว่าจะชำระเสร็จ หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระหรือมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์ชอบที่จะร้องขอให้บังคับคดีตามคำพิพากษานั้นได้โดยบังคับจำนองเอาจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 แล้วยังไม่พอชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ก็ยังคงมีสิทธิดำเนินการบังคับคดีโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นลูกหนี้ชั้นต้นเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาจนกว่าจะครบถ้วนได้ กรณีจึงไม่จำเป็นต้องระบุว่าหากบังคับจำนองเอาจากทรัพย์จำนองของจำเลยที่ 3 แล้วได้เงินไปพอชำระหนี้ ให้โจทก์ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยที่ 2 ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วนด้วยดังที่โจทก์ฎีกา คำพิพากษาของศาลชั้นต้นชัดเจนแล้ว”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้เป็นพับ