คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6473/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา จำเลยให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกตลอดชีวิต จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่าจำเลยกระทำความผิดโดยบันดาลโทสะเพราะผู้ตายกล่าววาจาด่าและไล่จำเลย ดังนี้ เมื่อตามฎีกาของจำเลยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ตายด่าว่าจำเลยด้วยถ้อยคำอย่างไร หรือผู้ตายมีพฤติการณ์ในการขับไล่จำเลยอันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงอย่างไร ทั้งจำเลยก็ไม่สืบพยานลำพังข้อเท็จจริงเพียงที่ได้ความจากฎีกาของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าผู้ตายข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อันจะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 91, 33 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 57, 91พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 ริบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมเรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นให้ลงโทษประหารชีวิต ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำคุก 1 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 2 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ประกอบมาตรา 52(2) กึ่งหนึ่ง ฐานฆ่าผู้อื่น คงจำคุกตลอดชีวิตฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี แต่รวมโทษทุกกระทงแล้ว คงลงโทษจำคุกตลอดชีวิตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91(3)ริบอาวุธปืนและปลอกกระสุนปืนของกลาง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังเป็นยุติว่าจำเลยใช้อาวุธปืนของกลางยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะหรือไม่ จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยใช้อาวุธปืนของกลางที่พกติดตัวมายิงผู้ตายเพราะได้รับความกดดันถูกบีบคั้นที่ถูกมารดาผู้ตายและผู้ตายซึ่งเป็นพี่สาวภริยาจำเลยรุมด่าและไล่จำเลยกับกีดกันมิให้จำเลยกับภริยาคืนดีกันและขณะที่จำเลยออกไปจากกระท่อมนาที่เกิดเหตุผู้ตายยังได้ตามจำเลยออกมาแล้วด่าไล่จำเลย ทำให้จำเลยโกรธประกอบกับจำเลยเสียใจที่ได้เจรจาทำความเข้าใจกับภริยาไม่เป็นผล เมื่อถูกผู้ตายขัดขวางและด่าไล่อีกจึงใช้อาวุธปืนของกลางที่นำติดตัวมายิงผู้ตายทันทีนั้น เห็นว่า ตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ตายด่าว่าจำเลยด้วยถ้อยคำอย่างไรหรือผู้ตายมีพฤติการณ์ในการขับไล่จำเลยอันจะแสดงให้เห็นว่าเป็นการข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงอย่างไร ทั้งจำเลยก็ไม่สืบพยาน ลำพังข้อเท็จจริงเพียงที่ได้ความจากฎีกาของจำเลยยังถือไม่ได้ว่าผู้ตายข่มเหงจำเลยอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม อันจะเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 ส่วนที่จำเลยฎีกาอีกประการหนึ่งขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 3 กำหนดโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้วไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share