แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อเมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคารแต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้วนับว่าโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่าโจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับรองเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่า รับเช็คมาจากผู้มีชื่อซึ่งจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใคร ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงดังกล่าวมิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2534 จำเลยสั่งจ่ายเช็คธนาคารเอเซีย จำกัด สาขาบรรทัดทอง 3 ฉบับ ฉบับแรกลงวันที่ 30 สิงหาคม 2534 สั่งจ่ายเงินจำนวน 20,000 บาท ฉบับที่สองลงวันที่ 18 กันยายน 2534 สั่งจ่ายเงินจำนวน 20,000 บาทฉบับที่สามลงวันที่ 5 ตุลาคม 2534 สั่งจ่ายเงินจำนวน 28,304 บาทแก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ ต่อมาประมาณปลายเดือนสิงหาคม2534 โจทก์ได้นำเช็คทั้งสามฉบับไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อ เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อได้นำไปเข้าบัญชีของผู้มีชื่อที่ธนาคารศรีนครจำกัด สาขาปรารภ เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินทั้งสามฉบับเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม 2534 วันที่ 18กันยายน 2534 และวันที่ 7 ตุลาคม 2534 ตามลำดับปรากฏตามภาพถ่ายเช็คและใบคืนเช็คท้ายฟ้อง ต่อมาวันที่ 8 ตุลาคม 2534 โจทก์ได้ชำระเงินตามเช็คให้แก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คทั้งสามฉบับไว้ในครอบครองโจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คทั้งสามฉบับโดยชอบด้วยกฎหมายได้ทวงถามให้จำเลยชำระเงินตามเช็ค แต่จำเลยเพิกเฉยขอคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 68,304 บาทนับตั้งแต่วันที่ 8 ตุลาคม 2534 จนถึงวันฟ้องเป็นเงิน 3,728 บาทขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 72,032 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ7.5 ต่อปี ในต้นเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ นับตั้งแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์มิใช่ผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องให้ชัดแจ้งถึงมูลหนี้ตามตั๋วเงินโดยในคำฟ้องระบุเพียงว่ารับเช็คมาจากผู้มีชื่อจำเลยไม่ทราบว่าเป็นใคร และมูลหนี้ตามเช็คเกิดจากอะไร จำเลยจึงไม่สามารถต่อสู้คดีได้ จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คพิพาทรวมสามฉบับให้โจทก์เพื่อชำระหนี้ค่าอะไหล่รถยนต์ และจำเลยได้ชำระค่าอะไหล่ครบถ้วนแล้ว แต่โจทก์ไม่ส่งมอบเช็คพิพาทคืน จำเลยเป็นหนี้ค่าอะไหล่โจทก์น้อยกว่ายอดเงินตามเช็คทั้งสามฉบับ โจทก์ไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 72,032 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 68,304 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายมาสู่ศาลฎีกาเพียงข้อเดียวว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ในปัญหาข้อนี้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง บัญญัติว่าคำฟ้องต้องแสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้น ดังนั้น คำฟ้องที่ชอบด้วยกฎหมายจึงต้องแสดงสภาพแห่งข้อหา อีกทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโดยแจ้งชัด กับต้องมีขอบังคับไว้ด้วยข้อเท็จจริงปรากฏว่าคำฟ้องของโจทก์ได้แสดงข้ออ้างแห่งข้อหาไว้ว่า จำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็คธนาคารเอเซีย จำกัดสาขาบรรทัดทอง จำนวนสามฉบับ ตามภาพถ่ายท้ายฟ้อง สั่งธนาคารจ่ายเงินให้แก่ผู้ถือในการชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์นำไปชำระหนี้แก่ผู้มีชื่อ เมื่อเช็คถึงกำหนดผู้มีชื่อนำเข้าบัญชีเรียกเก็บเงินจากธนาคาร แต่ธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คทั้งสามฉบับโจทก์จึงชำระเงินตามเช็คแก่ผู้มีชื่อแล้วเข้าถือเอาเช็คทั้งสามฉบับไว้ในครอบครอง โจทก์จึงเป็นผู้ทรงเช็คทั้งสามฉบับโดยชอบด้วยกฎหมายจำเลยต้องรับผิดชำระเงินตามเช็ค พร้อมทั้งดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คแต่ละฉบับจนกว่าจะชำระเงินเสร็จแก่โจทก์ กับมีคำขอบังคับให้จำเลยชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ สภาพแห่งข้อหาตามคำฟ้องก็คือจำเลยเป็นผู้สั่งจ่ายเช็ค เมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คดังกล่าวจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายต้องรับผิดชำระเงินตามเช็คพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินแก่โจทก์ซึ่งเป็นผู้ทรงโดยฐานมีเช็คสั่งจ่ายเงินให้ผู้ถืออยู่ในครอบครอง ทั้งคำฟ้องมีคำขอบังคับไว้แล้วนับว่าโจทก์ได้แสดงโดยชัดแจ้งซึ่งสภาพแห่งข้อหา ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาพอที่จำเลยจะเข้าใจคำฟ้องได้แล้วว่า โจทก์เป็นผู้ทรงเช็คตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 904 ฟ้องจำเลยในฐานะผู้สั่งจ่ายเช็คให้รับผิดต่อโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 ประกอบมาตรา 989และรับผิดค่าดอกเบี้ยตามมาตรา 224 คำฟ้องของโจทก์จึงครบถ้วนสมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสองแล้ว ดังนั้น แม้โจทก์จะมิได้บรรยายในคำฟ้องว่า โจทก์ได้รับเช็คพิพาทมาด้วยมูลหนี้ใดและเหตุใดโจทก์จึงเข้าชำระหนี้และรับเอาเช็คนั้นมาทั้งคำฟ้องระบุแต่เพียงว่ารับเช็คมาจากผู้มีชื่อจำเลยไม่อาจทราบได้ว่าผู้มีชื่อนั้นคือใครตามข้ออ้างของจำเลยก็ตาม ก็ไม่เป็นเหตุให้คำฟ้องของโจทก์ที่ชอบด้วยกฎหมายดังวินิจฉัยแล้วกลับกลายเป็นคำฟ้องเคลือบคลุมไปได้ เพราะข้อเท็จจริงตามที่จำเลยอ้างนั้น มิใช่สภาพแห่งข้อหาหรือข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาที่โจทก์จำเป็นจะต้องแสดงไว้ในคำฟ้อง
พิพากษายืน