คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6459/2538

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19629,19630,19631 แขวงลาดยาว(บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยประมูลซื้อจากการขายทอดตลาดและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วจำเลยทั้งสองและบริวารอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทโดยไม่ยอมออก โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ทำให้โจทก์เสียหายไม่น้อยกว่าเดือนละ 30,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างและใช้ค่าเสียหาย ดังนี้โจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดถึงการได้มาของที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ความเสียหายที่ไม่อาจหาประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท และได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างแล้วเป็นฟ้องที่แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง คำว่า โดยสุจริตในมาตรา 1330 หมายความว่าผู้ซื้อไม่รู้ว่ามิใช่ทรัพย์ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลล้มละลาย ในการวินิจฉัยว่าผู้ซื้อสุจริตหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาพฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งก่อนและในขณะซื้อประกอบกันว่าผู้ซื้อรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่ตนซื้อจากการขายทอดตลาด มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลล้มละลาย ส. ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจจากโจทก์ให้ไปประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดเบิกความรับว่า จำเลยทั้งสองเป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านพิพาทได้ปลูกสร้างตั้งแต่ พ.ศ. 2518 ก่อนโจทก์ซื้อที่พิพาท และก่อนไปประมูลซื้อที่ดินได้ไปตรวจดูที่ดินซึ่งรวมทั้งที่พิพาทก่อน พบว่าที่ดินบางแปลงเป็นที่ว่างเปล่าบางแปลงมีสิ่งปลูกสร้างแต่สิ่งปลูกสร้างไม่มีผู้อยู่อาศัย มีสภาพเป็นบ้านร้าง หลังจากโจทก์ซื้อที่พิพาททั้ง 3 แปลงจากการขายทอดตลาดแล้วจึงได้มีคนเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านพิพาท ในขณะที่โจทก์ประสงค์จะซื้อที่ดินและบ้านพิพาทโจทก์ได้ตรวจสอบทราบแล้วว่า ที่ดินและบ้านพิพาทมีจำเลยทั้งสองเป็นผู้อาศัยอยู่ บ้านพิพาทมีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของบ้านพิพาทปิดอยู่ที่หน้าประตูบ้านอย่างชัดแจ้ง โจทก์ย่อมทราบว่าที่ดินและบ้านพิพาทมิใช่เป็นของลูกหนี้ในคดีที่มีการขายทอดตลาดกัน โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้ซื้อโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330โจทก์จะเอาที่และบ้านพิพาทโดยอาศัยกฎหมายดังกล่าวไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท ที่จำเลยทั้งสองฟ้องแย้งขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่พิพาททั้ง 3 แปลง ด้วยนั้นเมื่อการขายทอดตลาดดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย และประเด็นพิพาทสำหรับโจทก์และจำเลยทั้งสองในคดีนี้คงมีเพียงว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตหรือไม่เท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาด คดีนี้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทรวม 3 ประการ คือโจทก์ซื้อที่พิพาทโฉนดเลขที่ 1962919630 และ 19631 พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากการขายทอดตลาดโดยสุจริตหรือไม่ ฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด โดยมิได้กำหนดประเด็นในเรื่องการครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่อย่างใดจำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยสละประเด็นข้อนี้แล้ว ศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่พิพาทตามโฉนดเลขที่ 19629, 19630 และ 19631 แขวงลาดยาว(บางซื้อฝั่งเหนือ) เขตบางเขน (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้าง โดยซื้อมาโดยสุจริต จากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีล้มละลาย คดีหมายเลขแดงที่ล.122/2521 และได้จดทะเบียนโดยสุจริตแล้วเมื่อวันที่ 20 เมษายน 2527 ต่อมาวันที่ 22 ตุลาคม 2530จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นภริยาจำเลยที่ 1 กับพวก ได้ยื่นคำร้องขอต่อศาลชั้นต้น ขอแสดงกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ โจทก์ได้คัดค้านไว้จำเลยที่ 2กับพวกจึงถอนคำร้องขอไป โจทก์ไม่ประสงค์จะให้จำเลยทั้งสองอยู่ในที่พิพาทต่อไป ได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทแล้ว แต่จำเลยทั้งสองและบริวารเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายเพราะหากจำเลยทั้งสองออกไปแล้ว โจทก์อาจจะใช้ที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างหาประโยชน์ได้เดือนละไม่น้อยกว่า30,000 บาท ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่พิพาทห้ามเกี่ยวข้องต่อไป ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายเดือนละ 30,000 บาท นับแต่วันฟ้องแก่โจทก์จนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่พิพาท
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทจากการขายทอดตลาดโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม เพราะโจทก์ไม่มีความประสงค์จะซื้อที่พิพาทแต่ที่ซื้อเพราะเข้าใจว่าที่พิพาทคือที่ดินอีกแปลงหนึ่งซึ่งเป็นที่ข้างเคียงมีบ้านทรงสเปนปลูกอยู่ 1 หลัง ส่วนที่พิพาทโจทก์รู้ดีอยู่แล้วว่าเป็นของจำเลยทั้งสอง การซื้อขายจึงตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาท เมื่อโจทก์จดทะเบียนแล้วโจทก์ได้เข้าครอบครองที่แปลงนั้นและให้คนงานของโจทก์พักอาศัยในบ้านทรงสเปน เมื่อธนาคารกรุงเทพ จำกัดทักท้วง โจทก์จึงฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตการยึดทรัพย์และการขายทอดตลาดที่พิพาทไม่ชอบด้วยกฎหมายและจำเลยทั้งสองไม่เคยทราบมาก่อนจำเลยทั้งสองได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์สืบต่อมาจากบิดาของจำเลยที่ 2 และเป็นผู้ครอบครองที่พิพาทมาตลอดฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุมขอให้ยกฟ้องกับเพิกถอนการขายทอดตลาดที่พิพาทและให้จำเลยทั้งสองเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตไม่ได้สำคัญผิดในสาระสำคัญในการซื้อขาย จำเลยทั้งสองไม่มีส่วนได้เสียที่จะขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาด บิดาของจำเลยที่ 2 ไม่เคยเข้าครอบครองที่พิพาทจำเลยทั้งสองไม่ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทโดยการครอบครองปรปักษ์ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุมโจทก์มีเจตนาซื้อที่ดินเป็นหลัก สิ่งปลูกสร้างมิใช่สาระสำคัญการซื้อที่ดินพิพาท จากการขายทอดตลาดของโจทก์จึงมิได้สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญและโจทก์ซื้อโดยสุจริตส่วนฟ้องแย้งที่อ้างว่าจำเลยครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทนั้น ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทจำเลยทั้งสองมิได้โต้แย้งคัดค้าน ถือว่าได้สละปัญหาดังกล่าวแล้วจึงไม่วินิจฉัยให้ พิพากษาให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สิน ซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินโฉนดเลขที่ 19629, 19630 และ 19631แขวงลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขต (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาทนับแต่วันฟ้อง(15 กุมภาพันธ์ 2531) จนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะออกไปจากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าว
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าที่ดินโฉนดเลขที่ 19629, 19630 และ 19631แขวงลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขน (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นที่พิพาทมีชื่อนายวีระ วิกิตเศรษฐนางวัชรี วิกิตเศรษฐ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ต่อมานายวีระ วิกิตเศรษฐ ถูกฟ้องล้มละลายตามคดีหมายเลขแดงที่ ล.122/2521 ของศาลชั้นต้นเจ้าพนักงานบังคับคดีนำที่พิพาททั้งสามแปลงพร้อมสิ่งปลูกสร้างขายทอดตลาดตามคำขอของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์โจทก์ประมูลซื้อได้และจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้แก่โจทก์แล้ว ปรากฏตามสำเนาโฉนดเอกสารหมาย จ.4 ถึง จ.6มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประเด็นแรกว่าฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 19629,19630, 19631 แขวงลาดยาว (บางซื่อฝั่งเหนือ) เขตบางเขต (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยประมูลซื้อจากการขายทอดตลาดและจดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วจำเลยทั้งสองและบริวารอยู่อาศัยในที่ดินและบ้านพิพาทโดยไม่ยอมออก โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ ทำให้โจทก์เสียหายไม่น้อยกว่าเดือนละ30,000 บาทขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างและใช้ค่าเสียหายจำเลยทั้งสองอ้างว่าโจทก์บรรยายฟ้องไม่ชัดเจนว่าโจทก์เสียหายอย่างไรเท่าใดและโจทก์หาประโยชน์จากที่ดินอย่างไรนั้น เห็นว่าโจทก์บรรยายฟ้องแจ้งชัดถึงการได้มาของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างความเสียหายที่ไม่อาจหาประโยชน์เดือนละ 30,000 บาท และได้บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองออกจากที่พิพาทและสิ่งปลูกสร้างแล้ว เช่นนี้ เป็นฟ้องที่แสดงแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาแล้วจึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง
มีประเด็นวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปว่าโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่าบ้านจำเลยทั้งสองคือบ้านเลขที่ 58 ซึ่งเป็นอยู่บนที่พิพาททั้งสามแปลงบางส่วนมีสภาพตามภาพถ่ายหมาย ล.2 และ ล.5เป็นบ้านทรงปั้นหยา มิใช่บ้านทรงสเปน จากรายงานกระบวนพิจารณาฉบับลงวันที่ 1 สิงหาคม 2532 ซึ่งศาลได้เดินเผชิญสืบ ปรากฏว่า มีแนวรั้วล้อมรอบที่ดินโฉนดเลขที่19629, 19630และ 19631 มีบ้านเลขที่ 58 ปลูกอยู่ ส่วนด้านลึกเข้าไปในซอยเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ 44424 อยู่ติดต่อเป็นผืนเดียวกับที่พิพาทเป็นที่ปลูกบ้านเลขที่ 56 ลักษณะของบ้านเลขที่ 58 ไม่ตรงกับบ้านที่ประกาศขายทอดตลาดตามเอกสารหมาย ล.7ส่วนบ้านเลขที่ 60 ซึ่งอยู่ห่างบ้านเลขที่ 58 ของจำเลยทั้งสองประมาณ 50 เมตร เป็นบ้านทรงสเปนมีลักษณะตรงกับบ้านที่ประกาศขายและหมายยึดทรัพย์ของกรมบังคับคดีนอกจากนี้จำเลยทั้งสองยืนยันว่าที่ดินและบ้านทรงสเปนเป็นของนายวีระ โจทก์ซื้อเมื่อ พ.ศ. 2527แล้วเข้าไปซ่อมแซมครอบครองปรากฏตามภาพถ่ายหมาย ล.8ไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้เข้าแสดงสิทธิเป็นเจ้าของในที่พิพาทและบ้านเลขที่ 58 ของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยืนยันต่อไปว่าบ้านและที่ดินที่โจทก์ครอบครองดังกล่าวต่อมาธนาคารกรุงเทพ จำกัด แจ้งว่าเป็นที่ที่นายวีระจำนองไว้ต่อธนาคาร โจทก์จึงทราบว่าซื้อบ้านและที่ดินโดยสำคัญผิดนายสมศักดิ์ มีนาสิทธิโชค เจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ไปยึดทรัพย์ที่ดิน 3 แปลง และบ้านทรงสเปนที่เจ้าหนี้ตามบังคับคดีเป็นผู้ยึดมีลักษณะไม่ตรงกับที่พิพาทและบ้านของจำเลยทั้งสอง จำเลยทั้งสองยืนยันด้วยว่าไม่เคยมีผู้ใดมานำชี้ให้ยึดและไม่มีหมายยึดทรัพย์ของเจ้าพนักงานมาปิดที่บ้านแต่อย่างใด คงมีแต่ปิดไว้ที่บ้านทรงสเปนเลขที่ 60 จะเห็นได้ชัดเจนว่าการยึดและประกาศขายทอดตลาดของเจ้าพนักงานบังคับคดีผิดพลาด ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลจึงได้รับความคุ้มครองนั้นเห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330 บัญญัติว่าสิทธิของบุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินโดยสุจริตในการขายทอดตลาดตามคำสั่งศาลหรือคำสั่งเจ้าพนักงานรักษาทรัพย์ในคดีล้มละลายนั้น ท่านว่ามิเสียไปถึงแม้ภายหลังจะพิสูจน์ได้ว่าทรัพย์สินนั้นมิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้โดยคำพิพากษาหรือผู้ล้มละลาย คำว่า โดยสุจริตในมาตรานี้หมายความว่าผู้ซื้อไม่รู้ว่ามิใช่ทรัพย์ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลล้มละลาย ในการที่จะวินิจฉัยว่าผู้ซื้อสุจริตหรือไม่ย่อมต้องพิจารณาพฤติการณ์ต่าง ๆ ทั้งก่อนและในขณะซื้อประกอบกันว่า ผู้ซื้อรู้หรือไม่ว่าทรัพย์ที่ตนซื้อจากการขายทอดตลาด มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษาหรือบุคคลล้มละลาย ได้ความจากนางสุมิตรา วิจิตรานนท์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นผู้รับมอบอำนาจ>จากโจทก์ให้ไปประมูลซื้อที่ดินจากการขายทอดตลาดเบิกความรับว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้างบ้านพิพาทได้ปลูกสร้างตั้งแต่ พ.ศ.2518 ก่อนโจทก์ซื้อที่พิพาท พยานเบิกความด้วยว่าก่อนไปประมูลซื้อที่ดินได้ไปตรวจดูที่ดินซึ่งรวมทั้งที่พิพาทก่อนพบว่าที่ดินบางแปลงเป็นที่ว่างเปล่าบางแปลงมีสิ่งปลูกสร้างแต่สิ่งปลูกสร้างไม่มีผู้อยู่อาศัย มีสภาพเป็นบ้านร้างหลังจากโจทก์ซื้อที่พิพาททั้ง 3 แปลงจากการขายทอดตลาดแล้วจึงได้มีคนเข้าไปอยู่อาศัยในบ้านพิพาท นอกจากนี้แล้วในวันที่ศาลชั้นต้นเดินเผชิญสืบ ทนายโจทก์เป็นผู้ซื้อระบุว่าที่ดินส่วนที่ลึกเข้าไปในซอยถัดจากบ้านเลขที่ 56เป็นที่ดินที่โจทก์ซื้อไว้ตลอดทั้งซอยและที่ดินดังกล่าวเป็นที่ปลูกสร้างของบุตรสาวของกรรมการโจทก์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง จึงเชื่อว่าในขณะที่โจทก์ประสงค์จะซื้อที่ดินและบ้านดังที่โจทก์กล่าวอ้างนั้น โจทก์ได้ตรวจสอบทราบแล้วว่าที่ดินและบ้านพิพาทมีจำเลยทั้งสองเป็นผู้อาศัยอยู่ จากภาพถ่ายบ้านพิพาทหมาย ล.2 มีชื่อจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของบ้านพิพาทปิดอยู่ที่หน้าประตูบ้านอย่างชัดแจ้ง โจทก์จึงย่อมทราบว่าที่ดินและบ้านพิพาทมิใช่เป็นของลูกหนี้ในคดีที่มีการขายทอดตลาดกันแต่อย่างใด โจทก์จึงมิใช่เป็นผู้ซื้อโดยสุจริตตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1330โจทก์จะเอาที่และบ้านพิพาทโดยอาศัยกฎหมายดังกล่าวไม่ได้โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองให้ออกจากที่ดินและบ้านพิพาท เมื่อฟังว่าโจทก์ไม่มีสิทธิในที่และบ้านพิพาทแล้วก็ไม่จำต้องวินิจฉัยค่าเสียหายของโจทก์ แต่ที่จำเลยทั้งสองขอให้เพิกถอนการขายทอดตลาดที่พิพาททั้ง 3 แปลงด้วยนั้นเห็นว่า เมื่อการขายทอดตลาดดังกล่าวเป็นไปโดยถูกต้องตามกฎหมาย และประเด็นพิพาทสำหรับโจทก์และจำเลยทั้งสองคงมีเพียงว่า โจทก์ซื้อที่พิพาทโดยสุจริตหรือไม่เท่านั้นจึงไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนการขายทอดตลาดดังกล่าว
ส่วนที่จำเลยทั้งสองฎีกาขอให้ยกปัญหาว่า จำเลยทั้งสองครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแล้วหรือไม่ขึ้นวินิจฉัยด้วยนั้น คดีนี้ศาลชั้นต้นชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทรวม3 ประการ คือโจทก์ซื้อที่พิพาทโฉนดเลขที่ 19629 19630 และ 19631พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากการ ขายทอดตลาดโดยสุจริตหรือไม่ฟ้องโจทก์ในส่วนค่าเสียหายเคลือบคลุมหรือไม่ และค่าเสียหายมีเพียงใด โดยมิได้กำหนดประเด็นในเรื่องการครอบครองจนได้กรรมสิทธิ์ในที่พิพาทแต่อย่างใด จำเลยมิได้โต้แย้งไว้ ถือได้ว่าจำเลยสละประเด็นข้อนี้แล้วศาลฎีกาไม่อาจวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวให้ได้
พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์และยกฟ้องแย้งจำเลย

Share