แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวนที่มีข้อความชัดแจ้งว่า จำเลยรับรองว่าได้กู้ยืมเงินของโจทก์ไปจำนวนเท่านั้นเท่านี้จริง และจำเลยได้ลงชื่อไว้ท้ายบันทึกนั้นด้วย แม้จะเป็นเรื่องพนักงานสอบสวนเรียกไปไกล่เกลี่ยในทางอาญาก็ตาม ก็ใช้บันทึกนั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมได้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป ๓๐,๖๐๐ บาท ต่อมาจำเลยได้ทำหลักฐานรับสภาพหนี้ว่าจำเลยเป็นหนี้เงินโจทก์อยู่ ๑๓,๖๐๐ บาท คิดดอกเบี้ย ๕ ปี เป็นเงิน ๕,๑๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๑๘,๗๐๐ บาท และดอกเบี้ยตั้งแต่วันฟ้อง
จำเลยให้การว่า จำเลยมีปากเสียงกับโจทก์ พนักงานสอบสวนเรียกไปไกล่เกลี่ยให้เลิกแล้วต่อกันในทางอาญา ซึ่งโจทก์หาว่าจำเลยกล่าวคำอาฆาต ข้อความที่พนักงานสอบสวนบันทึกว่าจำเลยเป็นหนี้เงินโจทก์เป็นเพียงสาเหตุซึ่งทำให้เกิดคดีอาญา มิใช่หนังสือรับสภาพหนี้ และมิได้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ต้นเงิน ๑๓,๖๐๐ บาท (ดอกเบี้ย ๕,๑๐๐ บาท เกินอัตราเป็นโมฆะ) พร้อมทั้งดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะใช้เงินเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาได้พิจารณาบันทึก (ประจำวัน) แล้ว เห็นว่ามีข้อความชัดแจ้งว่า นางพรเพ็ญจำเลยรับรองว่าได้กู้ยืมเงินของโจทก์ไป ๑๓,๖๐๐ บาท และจำเลยได้ลงชื่อรับรองไว้ท้ายบันทึกนั้นด้วย แม้ข้อความตามบันทึกจะเป็นเรื่องพนักงานสอบสวนเรียกไปไกล่เกลี่ยเกี่ยวกับคดีอาญาและจำเลยมิได้ตั้งใจให้ข้อความในบันทึกนั้นเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืม หรือเป็นเอกสารการรับสภาพหนี้ก็ตาม แต่เมื่อข้อความในเอกสารนั้นบ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่าจำเลยได้รับรองว่าได้กู้ยืมเงินโจทก์ ๑๓,๖๐๐ บาทไปจริง ข้อความนั้นก็เป็นหลักฐานอันหนึ่งซึ่งแสดงว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ไป เมื่อทำไว้เป็นหนังสือและจำเลยลงชื่อรับรองเป็นสำคัญแล้ว ก็ใช้เป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมและนำมาใช้เป็นหลักฐานฟ้องจำเลยได้
พิพากษายืน.