คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6437/2541

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 ในราชอาณาจักรจึงถือได้ว่าภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ใช้ในการติดต่อดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ด้วยโจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาล
แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 วรรคสองจะบัญญัติว่า “รับขนของทางทะเลท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น” ก็ตาม แต่เนื่องจากคดีนี้ทั้ง วันที่มีการออกใบตราส่งฉบับแรกและวันที่มีการส่งมอบ และตรวจรับสินค้าพิพาทเป็นวันก่อนที่พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ใช้บังคับ จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มูลคดีเกิดขึ้นอันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้บังคับ ตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง มิใช่ถือเอาวันที่โจทก์ทั้งสองฟ้อง
จำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสินค้าจากผู้ส่งและเป็นผู้ติดต่อเรือให้ขนสินค้าโดยเป็นผู้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ส่ง จึงมีฐานะเป็น ผู้ขนส่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616
จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับติดต่อกับผู้รับสินค้าในการส่งมอบสินค้า เมื่อได้รับชำระค่าระวางเรือก็จะแจ้งให้จำเลยที่ 4 ออกใบปล่อยสินค้า ใบตราส่งที่จำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งสินค้าก็ระบุให้ผู้รับตราส่งติดต่อจำเลยที่ 2 ในการขอรับสินค้าทั้งใบตราส่งที่จำเลยที่ 3 ออกให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานตัวแทนของผู้ส่งสินค้าก็ระบุให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับตราส่งพฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวเป็นการดำเนินงานขนส่งสินค้าร่วมกับจำเลยที่ 1 จึงต้องร่วมรับผิด ในการสูญหายของสินค้าด้วย
จำเลยที่ 4 เป็นผู้ทำการขนถ่ายสินค้าที่บรรทุกมากับเรือและนำสินค้าดังกล่าวไปมอบให้แก่การท่าเรือสัตหีบ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมทำการขนส่งสินค้าพิพาทด้วย จึงต้องร่วมรับผิดในความสูญหายของสินค้า
พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534มีผลใช้บังคับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 ภายหลังจากมูลคดีได้เกิดขึ้น จึงไม่อาจนำการจำกัดความรับผิดตามพระราชบัญญัติดังกล่าวมาใช้บังคับ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 และที่ 3 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดจดทะเบียนที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีจำเลยที่ 1 ประกอบกิจการรับขนทางทะเล โดยมีจำเลยที่ 2ร่วมประกอบกิจการดังกล่าวและเป็นตัวแทนในประเทศ จำเลยที่ 3ประกอบกิจการรับขนทางทะเล โดยมีจำเลยที่ 4 ร่วมประกอบกิจการดังกล่าวและเป็นตัวแทนในประเทศไทย โจทก์ทั้งสองได้ร่วมกันรับประกันภัยสินค้าประเภทอุปกรณ์สำหรับการดำเนินการในโรงงานผลิตและม้วนเหล็กกล้าจำนวน 125 หีบห่อ จากบริษัทเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปส์ จำกัด ที่ได้สั่งซื้อจากประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี จำเลยทั้งสี่เป็นผู้ร่วมกันรับขนสินค้าดังกล่าวของผู้เอาประกันภัยจากเมืองท่าฮัมบูร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มายังท่าเรือสัตหีบ ประเทศไทย โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกใบตราส่งให้แก่ผู้ส่งสินค้า และได้ดำเนินการจัดส่งสินค้าโดยเรือ “ทองไฮ”ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 3 เมื่อเรือเดินทางมาถึงท่าเรือสัตหีบจำเลยที่ 2 และที่ 4 ได้ทำหน้าที่เป็นผู้รับขนทอดสุดท้ายโดยร่วมกันแจ้งการมาถึงของเรือให้ผู้รับสินค้าทราบ และเป็นผู้จัดการเกี่ยวกับพิธีการต่าง ๆ ให้เรือ “ทองไฮ” เข้าเทียบท่าเรือสัตหีบรวมทั้งออกใบปล่อยสินค้าและจัดขนถ่ายสินค้าออกจากเรือซึ่งปรากฏว่าสินค้าได้สูญหายไป 1 หีบห่อ เป็นเงิน1,481,036.70 บาท ผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องให้จำเลยทั้งสี่ชดใช้ค่าเสียหาย แต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉยผู้เอาประกันภัยจึงเรียกร้องค่าเสียหายจากโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้รับประกันภัยซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วโดยโจทก์ที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 1,110,777.53 บาท และโจทก์ที่ 2 ชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 370,259.17 บาท โจทก์ทั้งสองจึงอยู่ในฐานะผู้รับช่วงสิทธิจากผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสี่ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,110,777.53 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 1 และเงินจำนวน 370,259.17 บาท ให้แก่โจทก์ที่ 2 พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 1ไม่ได้ประกอบกิจการรับขนสินค้าทางทะเลและกิจการเกี่ยวกับการเป็นตัวแทนในการขนส่งสินค้าในประเทศไทย ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 2 หรือให้จำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนในการประกอบกิจการดังกล่าวในประเทศไทยและจำเลยที่ 1 ไม่เคยประกอบกิจการดังกล่าวในประเทศไทยโดยใช้ภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 เป็นสถานที่ประกอบกิจการโจทก์ทั้งสองจึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ในศาลไทย จำเลยที่ 1ประกอบกิจการเป็นผู้ให้บริการรวบรวมสินค้าและติดต่อส่งสินค้าแทนผู้ขายซึ่งอยู่ต่างประเทศมาให้แก่ผู้ซื้อในประเทศไทยและดำเนินการจองระวางการขนส่งกับจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของเรือแทนผู้ขายสินค้า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นผู้ขนส่งสินค้าร่วมกับจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้องหากจะต้องรับผิด ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 มาตรา 60 จำเลยที่ 1 จะรับผิดไม่เกิน 25,500 บาทนอกจากนี้ ตามใบตราส่งยังระบุว่าจำเลยที่ 1 จะรับผิดไม่เกิน1,929.50 ดอยซ์มาร์ก ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 2 ให้การและแก้ไขคำให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 3 และที่ 4 รับขนสินค้าพิพาท จำเลยที่ 2เป็นเพียงตัวแทนของจำเลยที่ 1 ในการแจ้งให้บริษัทเอ็น.ที.เอส. สตีลกรุ๊ปส์ จำกัด จัดเตรียมเอกสารไปรับใบปล่อยสินค้าจากจำเลยที่ 3 ซึ่งมีจำเลยที่ 4 เป็นตัวแทนในประเทศไทย จำเลยที่ 2 ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการขนส่งหากจะต้องรับผิด ตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 มาตรา 60 กำหนดให้จำเลยที่ 2 รับผิดไม่เกิน25,500 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 3ประกอบกิจการรับขนสินค้าทางทะเลหรือเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 3ประกอบกิจการดังกล่าวในประเทศไทย จำเลยที่ 3 เพียงแต่ว่าจ้างให้จำเลยที่ 4 ในการทำพิธีการเรือแทน มิได้เป็นผู้รับจ้างขนส่งสินค้าพิพาท สินค้าไม่ได้สูญหายในระหว่างขนส่งความรับผิดของผู้ขนส่งกฎหมายจำกัดไว้เพียงไม่เกิน 95,100 บาท ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์ที่ 1 จำนวน 1,110,777.53 บาท และให้แก่โจทก์ที่ 2 จำนวน 370,259 บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาต้องวินิจฉัยประการแรกตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า โจทก์ทั้งสองมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 3(2)(ข) บัญญัติว่า “ในกรณีที่จำเลยไม่มีภูมิลำเนาอยู่ในราชอาณาจักร ถ้าจำเลยประกอบหรือเคยประกอบกิจการทั้งหมดหรือแต่บางส่วนในราชอาณาจักรไม่ว่าโดยตนเองหรือตัวแทนหรือโดยมีบุคคลหนึ่งบุคคลใดเป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการนั้นในราชอาณาจักร ให้ถือว่าสถานที่ที่ใช้หรือเคยใช้ประกอบกิจการหรือติดต่อดังกล่าว หรือสถานที่อันเป็นถิ่นที่อยู่ของตัวแทนหรือของผู้ติดต่อในวันที่มีการเสนอคำฟ้องหรือภายในกำหนด 2 ปีก่อนนั้นเป็นภูมิลำเนาของจำเลย” ดังนั้นเมื่อโจทก์ทั้งสองมีนายยงชัย หุ่นวงกตวิเชียรเจ้าหน้าที่อาวุโสของบริษัทเอ็น.ที.เอส. สตีลกรุ๊ป จำกัด ผู้สั่งซื้อสินค้าพิพาทเป็นพยานเบิกความมีใจความว่าผู้ขายสินค้าพิพาท ได้ว่าจ้างให้จำเลยที่ 1เป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาท โดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับสินค้าพิพาทจากผู้ขายสินค้าและบรรทุกสินค้าลงเรือ เมื่อเรือขนสินค้ามาถึงท่าเรือปลายทางจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องติดต่อประสานงานในการนำเรือเข้าจอดเทียบท่า และติดต่อพิธีการทางศุลกากรนอกจากนั้น ในการติดต่อขอรับสินค้าบริษัทเอ็น.ที.เอส. สตีลกรุ๊ปส์จำกัด จะต้องติดต่อกับจำเลยที่ 2 เพื่อชำระค่าระวางบรรทุกสินค้า เมื่อจำเลยที่ 2 รับชำระค่าระวางบรรทุกสินค้าแล้วจะแจ้งให้จำเลยที่ 4 ออกใบปล่อยสินค้าให้ และเมื่อพิจารณาใบตราส่งเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ขายสินค้าแล้วจะเห็นว่ามีข้อความระบุว่า การปล่อยสินค้าให้ติดต่อจำเลยที่ 2 และมีข้อความระบุอีกว่า ค่าระวางบรรทุกสินค้าให้ชำระที่เมืองท่าปลายทางซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายยงชัยดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 2 ทำหน้าที่เก็บค่าระวางบรรทุกสินค้าสำหรับสินค้าพิพาทแทนจำเลยที่ 1 เช่นนี้ ยอมฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ติดต่อในการประกอบกิจการของจำเลยที่ 1 ในราชอาณาจักรจึงถือได้ว่าภูมิลำเนาของจำเลยที่ 2 ซึ่งจำเลยที่ 1 ใช้ในการติดต่อดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 ด้วย โจทก์ทั้งสองจึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 1 ต่อศาลแพ่งได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 3(2)(ข) ดังกล่าว ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ฎีกาว่าจำเลยที่ 1 ไม่เคยใช้สำนักงานของจำเลยที่ 2 ในการติดต่อกับลูกค้าในประเทศไทยนั้นจึงไม่อาจรับฟังได้ ฎีกาของจำเลยที่ 1และที่ 2 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ประการต่อไปมีว่า จะต้องนำพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 หรือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับกับคดีนี้เห็นว่า แม้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 609 วรรคสองจะบัญญัติว่า “รับขนของทางทะเล ท่านให้บังคับตามกฎหมายและกฎข้อบังคับว่าด้วยการนั้น” ก็ตาม แต่เนื่องจากคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าทั้งวันที่มีการออกใบตราส่งฉบับแรกตามเอกสารหมาย จ.6คือวันที่ 28 เมษายน 2534 และวันที่มีการส่งมอบและตรวจรับสินค้าพิพาทคือวันที่ 8 มิถุนายน 2534 นั้น พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 ยังไม่มีผลใช้บังคับโดยพระราชบัญญัติดังกล่าวเพิ่งจะมีผลใช้บังคับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์2535 ดังนั้น จึงต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616ซึ่งเป็นบทกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะที่มูลคดีเกิดขึ้น อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งมาใช้บังคับตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 วรรคสอง มิใช่ถือเอาวันที่โจทก์ทั้งสองฟ้องคดีดังที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ฎีกาฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ประการต่อไปมีว่าสินค้าพิพาทสูญหายระหว่างการขนส่งหรือไม่ ข้อนี้โจทก์ทั้งสองมีใบตราส่งเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 เป็นหลักฐานแสดงว่า สินค้าที่ขนส่งจากเมืองท่าฮัมบูร์ก ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี มายังท่าเรือสัตหีบประเทศไทย โดยเรือทองไฮ มีจำนวน 125 หีบห่อ และมีเรือโทสมชาติ เพียรสวรรค์ ผู้ตรวจสอบสินค้าของการท่าเรือสัตหีบเป็นพยานเบิกความว่า เมื่อเรือทองไฮเข้าเทียบท่าแล้วจำเลยที่ 2 ได้มาแจ้งกับพยานว่า สินค้าสูญหายไปจำนวน 1 หีบห่อเมื่อทำการตรวจสอบแล้วพบว่าสินค้าได้สูญหายไปจริง พยานจึงได้ออกใบรายการสินค้าขาดและเกินบัญชีสินค้าเรือตามเอกสารหมายจ.8 ไว้เป็นหลักฐาน โดยมีนายสุชาติ ช้างศรี พนักงานของจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นตัวแทนเรือ ลงลายมือชื่อรับรองว่ารายการสินค้าขาดและเกินจากบัญชีสินค้าเรือดังกล่าวถูกต้อง ส่วนจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 เพียงแต่นำสืบกล่าวอ้างลอย ๆ ว่าไม่มีสินค้าขาดจากบัญชีสินค้าเรือเท่านั้น พยานหลักฐานของโจทก์ทั้งสองมีน้ำหนักมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า สินค้าพิพาทได้สูญหายในระหว่างการขนส่งจริง ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ประการสุดท้ายมีว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 จะต้องร่วมกันรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใดสำหรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 นั้นโจทก์ทั้งสองมีนายยงชัยเป็นพยานเบิกความว่าจำเลยที่ 1เป็นผู้ขนส่งสินค้าพิพาทโดยจำเลยที่ 1 มีหน้าที่รับสินค้าจากผู้ผลิตและบรรทุกสินค้าลงเรือเมื่อเรือบรรทุกสินค้าไปถึงท่าเรือปลายทาง จำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องติดต่อประสานงานในการนำเรือเข้าเทียบท่า ติดต่อพิธีการทางศุลกากร และบริษัทเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปส์ จำกัด ยังจ้างให้จำเลยที่ 2ขนส่งสินค้าพิพาทไปส่งยังสถานที่ซึ่งได้กำหนดไว้ด้วย ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับสินค้าจากผู้ส่งที่ประเทศสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี และจำเลยที่ 1 เป็นผู้ติดต่อให้เรือทองไฮขนส่งสินค้าดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 เป็นผู้ออกใบตราส่งเอกสารหมาย จ.5 ให้แก่ผู้ส่งเช่นนี้ จำเลยที่ 1จึงมีฐานะเป็นผู้ขนส่งตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 608 จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชอบในการที่สินค้าพิพาทสูญหายไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 616 ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ได้ความจากคำเบิกความของนายยงชัยพยานโจทก์เบิกความตอบคำถามค้านของทนายจำเลยที่ 4 มีใจความว่าในการติดต่อขอรับสินค้าพิพาท บริษัทเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปส์ จำกัดจะต้องติดต่อกับจำเลยที่ 2 และจะต้องชำระค่าระวางบรรทุกสินค้าให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2 รับชำระค่าระวางบรรทุกสินค้าแล้วจะแจ้งไปยังจำเลยที่ 4 ให้ออกใบปล่อยสินค้าให้ และตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.5 ซึ่งจำเลยที่ 1 ออกให้แก่ผู้ส่งสินค้าระบุให้ผู้รับตราส่งติดต่อจำเลยที่ 2 ในการขอรับสินค้าทั้งตามใบตราส่งเอกสารหมาย จ.6 ที่จำเลยที่ 3 ออกให้แก่จำเลยที่ 1 ในฐานตัวแทนของผู้ส่งสินค้าก็ระบุให้จำเลยที่ 2 เป็นผู้รับตราส่ง นอกจากนั้นยังได้ความจากคำเบิกความของนายวิชัย เตมีย์รักษ์ผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2 มีหน้าที่ติดต่อกับบริษัทเรือเพื่อรับเอกสารการปล่อยสินค้า พฤติการณ์ของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว จึงรับฟังได้ว่าเป็นการดำเนินงานขนส่งสินค้าร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จึงต้องร่วมรับผิดในการสูญหายของสินค้าพิพาทด้วย สำหรับจำเลยที่ 4 นั้น โจทก์ทั้งสองมีเรือโทสมชาติ เพียรสวรรค์ ผู้ตรวจสอบสินค้าของการท่าเรือสัตหีบเป็นพยานหลักฐานเบิกความว่า จำเลยที่ 4 เป็นผู้ทำการขนถ่ายสินค้าที่บรรทุกมากับเรือทองไฮและนำสินค้าดังกล่าวไปมอบให้แก่การท่าเรือสัตหีบ พฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ดังกล่าวถือได้ว่าจำเลยที่ 4 เป็นผู้ร่วมทำการขนส่งสินค้าพิพาทด้วย จำเลยที่ 4จึงต้องร่วมรับผิดในความสูญหายของสินค้าพิพาทดังกล่าวสำหรับจำนวนค่าเสียหายนั้นโจทก์ทั้งสองนำสืบว่าบริษัทเอ็น.ที.เอส.สตีลกรุ๊ปส์ จำกัด ได้เรียกร้องให้โจทก์ทั้งสองชดใช้ค่าเสียหายสำหรับสินค้าพิพาทที่สูญหาย ซึ่งโจทก์ทั้งสองได้ชดใช้ไปแล้วโดยโจทก์ที่ 1 ชำระไปเป็นเงิน1,110,777.53 บาท และโจทก์ที่ 2 ชำระไปแล้วเป็นเงิน370,259 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ไม่ได้นำสืบหักล้างให้เห็นเป็นอย่างอื่น ดังนั้นโจทก์ทั้งสองในฐานะผู้รับประกันภัยและได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เอาประกันภัยไปแล้วย่อมเข้ารับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยมาเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ได้ ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4ฎีกาว่าตามพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534จำเลยที่ 1 และที่ 2 รับผิดไม่เกิน 2.27 ดอยซ์มาร์ก หรือ 30 บาทต่อ 1 กิโลกรัม ส่วนจำเลยที่ 4 รับผิดไม่เกิน 95,100 บาท นั้นเห็นว่า พระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเล พ.ศ. 2534 มีผลใช้บังคับในวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2535 ภายหลังจากมูลคดีของคดีนี้ได้เกิดขึ้นแล้วจึงไม่อาจนำเอาพระราชบัญญัติการรับขนของทางทะเลพ.ศ. 2534 มาใช้บังคับกับคดีนี้ได้ฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2และที่ 4 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นเดียวกัน คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้วฎีกาของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 4 ทุกข้อฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share