แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลชั้นต้นเพียงแต่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายว่าหากข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายก็คือบริษัท ก. ส่วนโจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทยังถือไม่ได้ว่าเป็นผู้เสียหาย อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัท ก.ย่อมเป็นผู้เสียหายจึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 22 และป.วิ.อ. มาตรา 193 ทวิ และมาตรา 194
หากข้อเท็จจริงได้ความว่ามีการกระทำผิดตามฟ้อง ฐานปลอมและใช้เอกสารรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดรายงานจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมและหรือมติพิเศษ บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทบริษัทตลอดทั้งบรรดาผู้ถือหุ้นและกรรมการย่อมได้รับความเสียหายเกี่ยวกับการกระทำนั้นจึงเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
ข้อ ๑ (ก) วันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๒๙ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมเอกสารรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ ๑/๒๕๒๙ของบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด ขึ้นทั้งฉบับ โดยพิมพ์ข้อความรายละเอียดในเอกสารดังกล่าวอันเป็นเท็จว่า “มีผู้ถือหุ้นมาประชุมเจ็ดคน ถือหุ้นหกพันหุ้นครบเป็นองค์ประชุมโดยนายเอี่ยมฮวด กาญจนะโภคิน เป็นประธานที่ประชุม” นอกจากนี้ยังพิมพ์ข้อความอันเป็นเท็จว่า “…และที่ประชุมลงมติเป็นเอกฉันท์ให้นางสาววริยา จงสาครสินออกได้ โดยแต่งตั้งให้จำเลยที่ ๑ เข้าเป็นกรรมการแทน” ความจริงโจทก์ไม่เคยเข้าร่วมประชุม และไม่เคยลงมติให้จำเลยที่ ๑ เป็นกรรมการ จากนั้นจำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในช่อง “ประธานที่ประชุม” และช่อง “กรรมการ”ความจริงโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยทั้งสามดังกล่าวเพื่อให้บุคคลทั่วไปเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น นางสาววริยาและโจทก์
(ข) วันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๒๙ เวลากลางวัน จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมลายมือชื่อของโจทก์ลงในเอกสารคำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัดในช่องข้อความ ลงลายมือชื่อผู้เริ่มก่อการผู้ขอจดทะเบียน/กรรมการผู้มีอำนาจผูกพันบริษัท โดยมีจำเลยที่ ๓ ลงลายมือชื่อรับรองว่าโจทก์ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวต่อหน้าจำเลยที่ ๓ ความจริง โจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด และนำเอกสารดังกล่าวไปยื่นแสดงต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น นายทะเบียนห้างหุ้นส่วนบริษัท สำนักงานทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการและโจทก์
(ค) ในวันเดียวกับฟ้องในข้อ ๑ (ข) จำเลยทั้งสามร่วมกันปลอมลายมือชื่อโจทก์ลงในเอกสาร รายการจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติมและหรือมติพิเศษในช่องข้อความลงลายมือชื่อ…ผู้เริ่มก่อการ ผู้ขอจดทะเบียน กรรมการผู้ขอจดทะเบียน และเอกสารกรรมการเข้าใหม่ ในช่องข้อความ…กรรมการผู้ขอจดทะเบียน ความจริงโจทก์ไม่ได้ลงลายมือชื่อในเอกสารทั้งสองฉบับดังกล่าวแต่ประการใด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริง โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่น นายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการและโจทก์
ข้อ ๒ วันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๙ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ร่วมกันปลอมเอกสารบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นของบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัดฉบับลงวันที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๒๙ ขึ้นทั้งฉบับ โดยพิมพ์ข้อความรายละเอียดในเอกสารดังกล่าวอันเป็นเท็จว่า “จำเลยที่ ๑ เป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท” และปลอมลายมือชื่อโจทก์ในช่องข้อความว่า “ขอรับรองว่าเป็นรายการที่ถูกต้องตรงกับสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นลงลายมือชื่อ…กรรมการ” ความจริงจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นผู้ถือหุ้นและโจทก์ไม่เคยลงลายมือชื่อรับรองในเอกสารบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นฉบับดังกล่าวแต่ประการใด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้หนึ่งผู้ใดหลงเชื่อว่าเป็นเอกสารที่แท้จริงโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการและโจทก์
ข้อ ๓ วันที่ ๑๙ มีนาคม ๒๕๓๔ เวลากลางวัน จำเลยที่ ๑ ใช้และอ้างเอกสารปลอมดังกล่าวตามฟ้อง ข้อ ๑ (ก) (ข) (ค) และข้อ ๒ เป็นพยานหลักฐานประกอบคำฟ้องของจำเลยที่ ๑ ที่ยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีอาญาต่อศาลแขวงสมุทรปราการ ข้อหาแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จและใช้เอกสารเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๖๗ และ ๒๖๘ ตามคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๑๙๑๙/๒๕๓๕ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ยังร่วมกันยื่นฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ ๙๒๘๔/๒๕๓๔ ต่อศาลแพ่ง ข้อหากระทำผิดต่อหุ้นส่วนบริษัท ละเมิดขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓, ๙๑, ๒๖๔, ๒๖๗, ๒๖๘
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะจำเลยที่ ๒และที่ ๓ ให้ประทับฟ้อง จำเลยอื่นให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์แล้วเสร็จ เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แล้ว พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๒ และที่ ๓
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ศาลชั้นต้นนัดสืบพยานจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามคำฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) (ค) และข้อ ๒ ตอนต้น แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ ๒และที่ ๓ ประการแรกมีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัยว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมตามฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) (ค)และข้อ ๒ ตอนต้น กับพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาสืบพยานจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เป็นคำพิพากษาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและฝ่าฝืนต่อพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ กับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๙๓ ทวิ และมาตรา ๑๙๔ หรือไม่ เห็นว่า ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องสำหรับข้อหาตามฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) (ค) และข้อ ๒ ตอนต้น โดยวินิจฉัยว่าหากรายงานการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ ๑/๒๕๒๙ ของบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้งจำกัด คำขอจดทะเบียนบริษัทจำกัด รายงานจดทะเบียนแก้ไขเพิ่มเติม และ/หรือมติพิเศษ กรรมการเข้าใหม่กับบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น เอกสารหมาย จ.๒ และจ.๔ ถึงจ.๗ เป็นเอกสารปลอม ผู้เสียหายในความผิดฐานปลอมเอกสารก็คือบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด มิใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทเท่านั้น กับหากจำเลยที่ ๒ นำเอกสารดังกล่าวไปแจ้งขอจดเปลี่ยนแปลงรายการในทะเบียนของบริษัท-กิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด และนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทจังหวัดสมุทรปราการรับจดทะเบียนให้โดยเชื่อว่าเอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารที่ถูกต้องแท้จริง ผู้เสียหายก็คือบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด มิใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทดังกล่าวเช่นกัน ดังนี้ จะเห็นได้ว่าสำหรับข้อหาตามฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) (ค)และข้อ ๒ ตอนต้น ศาลชั้นต้นยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า มีการกระทำผิดในข้อหาดังกล่าวและจำเลยที่ ๒ กับที่ ๓ ร่วมกันกระทำหรือไม่ โดยศาลชั้นต้นเพียงแต่หยิบยกขึ้นวินิจฉัยเฉพาะปัญหาข้อกฎหมายเท่านั้นว่า หากข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์กล่าวหา ผู้เสียหายก็คือบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด ส่วนโจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทยังถือไม่ได้ว่าเป็นผู้เสียหายด้วย เช่นนี้ อุทธรณ์ของโจทก์ที่ว่าโจทก์ในฐานะผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด ย่อมเป็นผู้เสียหายจากการกระทำผิดในข้อหาตามฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) (ค) และข้อ ๒ ตอนต้น จึงเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมาย ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๒๒ และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ และมาตรา ๑๙๔ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ รับวินิจฉัยจึงชอบด้วยกฎหมาย
คดีคงเหลือปัญหาต้องวินิจฉัยประการสุดท้ายว่า โจทก์เป็นผู้เสียหายในความผิดตามฟ้องข้อ ๑ (ก) (ข) (ค) และข้อ ๒ ตอนต้น หรือไม่ เห็นว่าหากข้อเท็จจริงได้ความว่า มีการกระทำผิดตามฟ้องในแต่ละข้อหาดังกล่าวจริงบริษัทกิจกาญจน์เทรดดิ้ง จำกัด ตลอดทั้งบรรดาผู้ถือหุ้นและกรรมการย่อมได้รับความเสียหายเกี่ยวกับการกระทำนั้น โจทก์ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทดังกล่าวจึงเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๒ (๔)
พิพากษายืน.