คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6416/2534

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสอย่างไรจึงพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 297 ไม่ได้ พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 295.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เวลากลางวันจำเลยกับพวกอีกคนหนึ่งซึ่งหลบหนียังไม่ได้ตัวมาฟ้องได้บังอาจร่วมกันใช้อาวุธปืนและมีดพร้าเป็นอาวุธ ยิงและฟันประทุษร้ายร่างกายนายแนม เตชะพันธ์ ผู้เสียหายโดยเจตนาฆ่า โดยใช้มีดพร้าฟันผู้เสียหาย 2 ครั้งถูกที่แขนขวาและใช้อาวุธปืนยิงผู้เสียหาย 3 นัด แต่กระสุนไม่ถูกผู้เสียหายทั้งนี้โดยจำเลยกับพวกได้ลงมือกระทำความผิดและกระทำไปตลอดแล้วแต่การกระทำนั้นไม่บรรลุผล เนื่องจากผู้เสียหายวิ่งหลบหนีได้ทันและแพทย์ได้ช่วยเหลือผู้เสียหายไว้ได้ทันที ผู้เสียหายจึงไม่ถึงแก่ความตายสมดังเจตนาของจำเลยกับพวก เพียงแต่เป็นเหตุให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายแก่กายถึงบาดเจ็บสาหัส เหตุเกิดที่ตำบลท่าชะมวง อำเภอรัตภูมิ จังหวัดสงขลา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 80 และ 295 และริบปลอกกระสุนปืนของกลาง ส่วนอาวุธปืนของกลางคืนเจ้าของ
จำเลยให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 295 จำคุก 2 ปี คืนอาวุธปืนของกลางแก่เจ้าของ ข้อหาและคำขออื่นให้ยก
โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยต่างอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 ให้จำคุก 5 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3ฟังข้อเท็จจริงว่าการยิงปืนในที่เกิดเหตุเป็นเพียงยิงขู่โจทก์ร่วมจำเลยใช้มีดพร้าฟันโจทก์ร่วมโดยมีเจตนาเพียงทำร้ายร่างกายไม่ได้มีเจตนาฆ่า แต่โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสจากบาดแผลที่ถูกจำเลยทำร้าย พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297โจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้ฎีกาข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่นที่ศาลล่างพิพากษายกฟ้องเป็นอันยุติ คงมีปัญหาวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยใช้มีดพร้าฟันทำร้ายโจทก์ร่วมหรือไม่… ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมมีน้ำหนักมั่นคง พยานฐานที่อยู่ของจำเลยฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์และโจทก์ร่วมไม่ได้รูปคดีเชื่อว่าจำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธมีดพร้าฟันโจทก์ร่วมจริง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น อนึ่ง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ฟังว่า จำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมเป็นเหตุให้ป่วยเจ็บด้วยอาการทุกขเวทนาเกินกว่ายี่สิบวัน เป็นอันตรายถึงสาหัส ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297 แต่ปรากฏว่าคดีนี้ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่า โจทก์ร่วมได้รับอันตรายสาหัสอย่างไร จึงพิพากษาลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ไม่ได้ ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 1450/2529 ระหว่างพนักงานอัยการจังหวัดลพบุรี โจทก์ นายประยงค์หรือยงค์ เรืองสุขจำเลย”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น.

Share