แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
การลงโทษปรับเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ บัญญัติไว้นั้นค่าอากรดังกล่าวย่อมหมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรด้วย และเนื่องจากความผิดดังกล่าวเป็นกรณีจำเลยทั้งสองกระทำความผิดร่วมกันและศาลจะต้องพิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสองรวมกัน เป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว อันถือว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้ไขโทษปรับตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ 225
การรวมโทษจำคุกของแต่ละกระทงที่กำหนดเป็นเดือนเข้าด้วยกันแล้วจึงลดโทษนั้น การนำโทษส่วนที่เกิน 12 เดือน มาคิดคำนวณเป็น 1 ปี มีผลทำให้จำเลยต้องรับโทษจำคุกในปีสุดท้ายนานขึ้น 5 วัน หรือ 6 วัน หากตรงกับปีอธิกสุรทิน จึงเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 21 วรรคสอง ซึ่งที่ถูกต้องจะต้องลดโทษให้จำเลยเป็นรายกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษ
พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 7 และมาตรา 8 กำหนดให้จ่ายสินบนและรางวัลจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลสั่งริบไม่อาจขายได้ จึงให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล ดังนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าไม่อาจขายเลื่อยยนต์ของกลางได้ ศาลจึงสั่งให้จ่ายจากเงินค่าปรับไม่ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีได้ร่วมกันกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือ
(ก) เมื่อระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541เวลากลางวันและกลางคืน วันเวลาใดไม่ปรากฏชัด ได้มีผู้ลักลอบนำหรือพาเลื่อยยนต์จำนวน 1 เครื่อง ราคา 3,500 บาท ซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิดผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักร โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีที่จะต้องเสียสำหรับของนั้นจำนวน 1,620.50 บาท ซึ่งรวมราคาของและค่าอากรเข้าด้วยกันแล้วเป็นเงินจำนวน 5,120.50 บาท ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541 เวลากลางวันหลังจากมีผู้ลักลอบนำหรือพาเลื่อยยนต์ดังกล่าวเข้ามาในราชอาณาจักรแล้ว จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันครอบครองเลื่อยยนต์ดังกล่าวซึ่งเป็นของที่มีถิ่นกำเนิด ผลิตในต่างประเทศที่ยังมิได้เสียค่าภาษีและยังมิได้ผ่านด่านศุลกากรโดยถูกต้องจากต่างประเทศเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงการเสียค่าภาษี โดยเจตนาจะฉ้อค่าภาษีขาเข้าที่จะต้องเสียจำนวน 1,620.50บาท ซึ่งรวมราคาของและค่าอากรเข้าด้วยกันแล้วเป็นจำนวน 5,120.50 บาทหรือมิฉะนั้นระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2541 ถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541เวลากลางวันและกลางคืนวันเวลาใดไม่ปรากฎชัด จำเลยทั้งสองได้ซื้อรับจำนำ หรือรับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์จำนวน 1 เครื่อง ราคา 3,500 บาท และช่วยพาเอาไปเสีย ช่วยจำหน่าย หรือช่วยซ่อนเร้น ซึ่งเลื่อยยนต์ดังกล่าวอันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากรที่ต้องเสียสำหรับของนั้นจำนวน 1,620.50 บาท ซึ่งรวมราคาของและอากรเข้าด้วยกันแล้วเป็นเงินจำนวน 5,120.50 บาท
(ข) เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2541 เวลากลาวัน จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนี ร่วมกันทำไม้โดยตัด ฟัน โค่นไม้ตะเคียน จำนวน 8 ต้น และไม้ประดู่จำนวน 1 ต้น ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ในป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติป่าภูพานในท้องที่ ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร โดยใช้เลื่อยยนต์อันเป็นการทำด้วยประการใด ๆ และทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ภายในเขตอุทยานแห่งชาติ โดยไม่ได้รับอนุญาต
(ค) ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ (ข) จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีร่วมกันมีไม้ตะเคียนจำนวน 8 ท่อน และไม้ประดู่จำนวน 1 ท่อน ปริมาตรรวม10.31 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. อันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขาย และไม่สามารถจะพิสูจน์ได้ว่าไม้นั้นได้มา โดยชอบด้วยกฎหมาย
(ง) ตามวันเวลาดังกล่าวในข้อ (ข) จำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีได้นำรถยนต์บรรทุกจำนวน 1 คัน ซึ่งเป็นยานพาหนะเข้าไปภายในเขตอุทยานแห่งชาติป่าภูพานในท้องที่ตำบลสร้างค้อ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร ซึ่งมิใช่ทางที่จัดไว้เพื่อรถยนต์แล่น โดยไม่ได้รับอนุญาต
ตามวันเวลาดังกล่าวมีสายลับแจ้งความประสงค์ขอรับสินบนนำจับนำเจ้าพนักงานจับกุมจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดเลื่อยยนต์จำนวน 1 เครื่องซึ่งจำเลยทั้งสองมีไว้เป็นความผิดและใช้ในการกระทำความผิด ไม้ตะเคียนจำนวน 8 ท่อน ไม้ประดู่จำนวน 1 ท่อน มีดจำนวน 1 เล่ม ประแจจำนวน1 อัน ไขควงจำนวน 1 อัน ตะไบจำนวน 2 อัน แบตเตอรี่จำนวน 2 ชุด ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการกระทำความผิดเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 7, 11, 69, 73, 74, 74 ทวิ,74 จัตวา พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 16(2)(9),24, 25 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27, 27 ทวิ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489มาตรา 4, 5, 6, 7, 8, 9 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91ริบของกลาง และจ่ายสินบนและรางวัลนำจับตามกฎหมาย
จำเลยที่ 1 ในการรับสารภาพตามฟ้อง ข้อ (ข) ข้อ (ค) และข้อ (ง)ส่วนความผิดตามฟ้องข้อ (ก) จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพฐานรับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์อันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากร
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2488 มาตรา 7 วรรคหนึ่ง, 11 วรรคหนึ่ง, 69 วรรคสอง(2),73 วรรคสอง(2), 74, 74 ทวิ, 74 จัตวา พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติพ.ศ. 2504 มาตรา 16(2)(9), 24, 25 พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2496(ที่ถูกพ.ศ. 2469) มาตรา 27 ทวิ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันทำไม้หวงห้าม (ที่ถูกฐานร่วมกันทำไม้หวงห้ามและฐานทำอันตรายซึ่งไม้ภายในเขตอุทยานแห่งชาติตามฟ้องข้อ (ข)) เป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันทำไม้หวงห้าม ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี และปรับคนละ60,000 บาท ฐานร่วมกันมีไม้หวงห้ามประเภท ก. อันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง (ตามฟ้อง ข้อ ค)) จำคุกคนละ 4 ปี และปรับคนละ 30,000 บาทฐานร่วมกันนำยานพาหนะเข้าไปภายในเขตอุทยานแห่งชาติ (ตามฟ้องข้อ (ง)) จำคุกคนละ 1 เดือน ฐานรับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์อันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร (ตามฟ้อง ข้อ (ก)) ปรับรวม6,482 บาท รวมโทษ 4 กระทง เป็นจำคุกคนละ 9 ปี 1 เดือน และปรับคนละ 90,000 บาท กับปรับรวม 6,482 บาท จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง (ทุกข้อหา) และลดโทษให้จำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งเฉพาะความผิดตามพระราชบัญญัติศุลกากรฯ (ตามฟ้องข้อ (ก)) ส่วนข้อหาอื่นลดโทษให้จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน 15 วัน และปรับ 45,000 บาทจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 6 ปี 20 วัน และปรับ 60,000 บาท และปรับจำเลยทั้งสอง (ตามฟ้องข้อ (ก)) รวม 3,241 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 ริบของกลาง กับให้จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับเป็นจำนวนเงินร้อยละ 50 ของค่าปรับ (ตามฟ้องข้อ (ข)(ค))ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ และจ่ายสินบนร้อยละ 30 ของค่าปรับ และจ่ายรางวัลร้อยละ 25 ของค่าปรับ (ตามฟ้องข้อ (ก)) ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 8
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2 ในข้อหาความผิดต่อพระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ (ตามฟ้องข้อ (ก)) และให้ลงโทษจำเลยทั้งสองฐานร่วมกันทำไม้หวงห้าม (ตามฟ้องข้อ (ข)) จำคุกคนละ 4 ปี ฐานร่วมกันมีไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครอง (ตามฟ้องข้อ (ค)) จำคุกคนละ 4 ปี ฐานนำยานพาหนะเข้าไปภายในเขตอุทยานแห่งชาติ (ตามฟ้องข้อ (ง)) จำคุกคนละ 1 เดือน และให้ปรับจำเลยที่ 1 ฐานรับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์อันตนรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักร โดยหลีกเลี่ยงอากร (ตามฟ้องข้อ (ก)) เป็นเงิน 20,482 บาทรวมโทษจำเลยที่ 1 สี่กระทง เป็นจำคุก 8 ปี 1 เดือน และปรับ 20,482 บาทรวมโทษจำเลยที่ 2 สามกระทง เป็นจำคุก 8 ปี 1 เดือน เมื่อลดโทษให้แก่จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง และลดโทษให้แก่จำเลยที่ 2 หนึ่งในสาม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้วคงจำคุก จำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี15 วัน และปรับ 10,241 บาท และจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 5 ปี 4 เดือน 20 วันกับให้ยกคำขอที่ให้จ่ายสินบนนำจับแก่ผู้นำจับตามพระราชบัญญัติป่าไม้พ.ศ. 2484 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามฟ้องข้อ (ก) ด้วย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นที่ยุติตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง จำเลยที่ 1 ได้รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ของกลางจำนวน 1 เครื่อง ราคา 3,500 บาท โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่มีผู้อื่นลักลอบนำพาหนีศุลกากรเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรที่จะต้องเสียสำหรับของนั้น ตามฟ้องข้อ (ก) และจำเลยทั้งสองกับพวกที่หลบหนีร่วมกันทำไม้โดยตัดฟันไม้ตะเคียนจำนวน 8 ต้น และไม้ประดู่จำนวน 1 ต้น ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ในป่าภายในเขตอุทยานแห่งชาติป่าภูพาน โดยใช้เลื่อยยนต์ดังกล่าวข้างต้น อันเป็นการกระทำด้วยประการใด ๆ และทำให้เสื่อมสภาพซึ่งไม้ในเขตอุทยานแห่งชาติโดยไม่ได้รับอนุญาตตามฟ้องข้อ (ข)แล้วจำเลยทั้งสองกับพวกได้ร่วมกันมีไม้ตะเคียนและไม้ประดู่ดังกล่าวปริมาตรรวม 10.31 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นไม้หวงห้ามอันยังมิได้แปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่มีรอยตราค่าภาคหลวงหรือรอยตรารัฐบาลขายตามฟ้องข้อ (ค) นอกจากนี้จำเลยทั้งสองกับพวกยังได้ร่วมกันนำยานพาหนะรถยนต์บรรทุกจำนวน 1 คัน เข้าไปภายในเขตอุทยานแห่งชาติป่าภูพาน ซึ่งมิใช่ทางที่จัดไว้ เพื่อรถยนต์แล่นโดยมิได้รับอนุญาตตามฟ้องข้อ (ง) อีกด้วย ในชั้นนี้คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงข้อเดียวว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ของกลาง โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากรและจำกัดด้วยหรือไม่… พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมานี้ เมื่อนำมาฟังประกอบกันแล้วจึงมีน้ำหนักเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 รับไว้ซึ่งเลื่อยยนต์ของกลางโดยรู้ว่าเป็นของที่นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยหลีกเลี่ยงอากร ข้อห้ามและข้อกำกัดตามที่โจทก์ฟ้องมาในข้อ (ก) ส่วนที่จำเลยที่ 2 นำสืบต่อสู้ในทำนองว่า วันเกิดเหตุจำเลยที่ 2 เพียงแต่รับจ้างจำเลยที่ 1 ไปขนไม้ในป่าที่เกิดเหตุโดยจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่ามีการทำผิดกฎหมายนั้น ขัดแย้งกับคำให้การรับสารภาพในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เอง จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ในข้อนี้ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกฟ้องข้อ (ก) สำหรับจำเลยที่ 2 มานั้น จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เนื่องจากคดีนี้ ศาลฎีกาต้องลงโทษปรับจำเลยทั้งสองรวมกันเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ บัญญัติไว้ซึ่งค่าอากรดังกล่าวย่อมหมายถึงค่าอากรในทางศุลกากรเท่านั้น ไม่รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มอันเป็นภาษีฝ่ายสรรพากรด้วย ศาลฎีกาได้ตรวจดูใบประเมินของกลางเอกสารหมาย ป.จ.1แล้วปรากฏว่าเลื่อยยนต์ของกลางจะต้องเสียค่าอากรเพียง 1,155 บาท เท่านั้นที่โจทก์ฟ้องว่าเลื่อยยนต์ของกลางต้องเสียค่าภาษี 1,620.50 บาท นั้น เป็นการรวมค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 465.50 บาท เข้าไปด้วย ซึ่งจะนำค่าภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวมารวมคิดคำนวณเป็นค่าปรับจำเลยที่ 2 ด้วยหาได้ไม่ ดังนั้น ราคาเลื่อยยนต์รวมค่าอากรในทางศุลกากรจึงรวมเป็นเงิน 4,655 บาท ค่าปรับสี่เท่าของราคาเลื่อยยนต์ซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้วจึงเป็นเงิน 18,620 บาทเท่านั้น และเนื่องจากความผิดตามฟ้องข้อ (ก) นี้ เป็นกรณีจำเลยทั้งสองกระทำความผิดร่วมกันและศาลจะต้องพิพากษาลงโทษปรับจำเลยทั้งสองรวมกันเป็นเงินสี่เท่าของราคาของซึ่งได้รวมค่าอากรเข้าด้วยแล้ว ตามที่พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ทวิ บัญญัติไว้ อันถือว่าเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจพิพากษาแก้ไขโทษปรับตลอดไปถึงจำเลยที่ 1ซึ่งมิได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 และ225 นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่าสำหรับความผิดตามฟ้องข้อ (ข) ข้อ (ค) และข้อ (ง) ของจำเลยที่ 2 นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ได้รวมโทษจำคุกของจำเลยที่ 2แต่ละกระทงเข้าด้วยกันแล้วจึงลดโทษ เป็นผลร้ายแก่จำเลยที่ 2 เพราะมีผลเป็นการนำโทษส่วนที่เกิน 12 เดือน มาคิดคำนวณเป็น 1 ปี อยู่ในตัว มีผลทำให้จำเลยที่ 2 ต้องรับโทษจำคุกในปีสุดท้ายนานขึ้น 5 วัน หรือ 6 วันหากตรงกับปีอธิกสุรทินเป็นการไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายอาญามาตรา 21 วรรคสอง ซึ่งที่ถูกต้องแล้วศาลอุทธรณ์ภาค 4 จะต้องลดโทษให้จำเลยที่ 2 เป็นรายกระทงก่อนแล้วจึงรวมโทษปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จะไม่มีคู่ความฝ่ายใดยกขึ้นฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้เป็นคุณแก่จำเลยที่ 2 ได้
อนึ่ง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันมาให้จ่ายสินบนร้อยละ 30ของค่าปรับและจ่ายรางวัลร้อยละ 25 ของค่าปรับ ตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 8 นั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เพราะตามพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าว 7 และมาตรา 8 บัญญัติไว้มีใจความว่า สินบนและรางวัลให้จ่ายจากเงินที่ได้จากการขายของกลางซึ่งศาลสั่งริบเมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว หากของกลางที่ศาลสั่งริบไม่อาจขายได้ จึงให้จ่ายจากเงินค่าปรับที่ได้ชำระต่อศาล ซึ่งคดีนี้ไม่ปรากฏว่าไม่อาจขายเลื่อยยนต์ของกลางได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาจึงไม่ถูกต้องตามบทกฎหมายดังกล่าว ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องเสียด้วย”
พิพากษาแก้เป็นว่า สำหรับความผิดของจำเลยที่ 2 ตามฟ้องข้อ (ก)ให้บังคับคดีลงโทษจำเลยที่ 2 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่โทษปรับคงให้ปรับจำเลยทั้งสองรวมกันเป็นเงิน 18,620 บาท เมื่อลดโทษให้จำเลยทั้งสองกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงให้ปรับจำเลยทั้งสองตามฟ้อง ข้อ (ก) รวมกันเป็นเงิน 9,310 บาท ส่วนความผิดตามฟ้องข้อ (ข) ข้อ (ค) และข้อ (ง) ของจำเลยที่ 2 นั้นก่อนรวมโทษ เมื่อลดโทษให้จำเลยที่ 2 เป็นรายกระทง กระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว ความผิดสองกระทงแรกตามฟ้องข้อ (ข) และข้อ (ค) คงจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน ความผิดกระทงหลังตามฟ้องข้อ (ง) คงจำคุก 20 วัน รวมโทษสามกระทงตามฟ้องข้อ (ข) ข้อ (ค)และข้อ (ง) เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี 16 เดือน 20 วัน กับให้จ่ายสินบนร้อยละ 30 ของราคาเลื่อยยนต์ของกลาง และจ่ายรางวัลร้อยละ 25ของราคาเลื่อยยนต์ของกลางที่ศาลสั่งริบตามพระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด พ.ศ. 2489 มาตรา 9 และมาตรา 8นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4