คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 638/2498

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดิน ที่จำเลยทำสัญญาจะซื้อจากผู้อื่นให้โจทก์สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยนี้ใช้ได้ถ้าจำเลยขายที่ดินให้โจทก์ไม่ได้เพราะเจ้าของที่ดินที่จะขายให้จำเลยโอนขายที่ดินให้คนอื่นไปเสีย จำเลยผิดสัญญา
จำเลยผิดสัญญาจะขายที่ดิน จำเลยต้องคืนมัดจำ และเสียค่าสินไหมทดแทนคือ ราคาที่คนภายนอกซื้อที่ดินไปสูงกว่าราคาที่จะขายให้โจทก์เท่าใด จำเลยต้องใช้ส่วนที่สูงกว่าให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า ที่แปลงหนึ่ง 15 ไร่ จำเลยทำสัญญาจะซื้อจากนายเชยคนนอกคดี ก่อนถึงวันกำหนดที่นายเชยจะต้องทำการโอน จำเลยทำสัญญาจะขายที่ที่กล่าวนี้ให้แก่โจทก์ รับเงินมัดจำ 1,000 บาท ครั้นต่อมาจำเลยกลับเอาที่รายนี้ขายให้แก่นางเหรียญ นางบุญล้อมได้ราคาสูงกว่าที่จะขายให้โจทก์ไร่ละ 800 บาท ส่วนการโอน จำเลยจัดการให้นางเหรียญ นางบุญล้อมรับโอนโดยตรงจากนายเชย เป็นอันโจทก์ไม่ได้ที่ โจทก์จึงฟ้องขอบังคับโอนที่แก่โจทก์ มิฉะนั้นให้ใช้ค่าเสียหาย

จำเลยให้การว่า สัญญาจะขายที่ดินไม่สมบูรณ์ เพราะจำเลยไม่ใช่เจ้าของที่ จำเลยทำสัญญาโดยถูกหลอกลวง สัญญานั้นสามีจำเลยบอกล้างแล้ว สัญญานั้นสิ้นอายุ เพราะมีการทำสัญญาใหม่ระหว่างจำเลยกับนายเชย ค่าเสียหายจำเลยเถียงว่าไม่มี ข้อความอื่นในคำให้การนอกนี้ไม่จำต้องกล่าว

ศาลแพ่งฟังว่า จำเลยผิดสัญญา ค่าเสียหายกำหนดจากราคาที่ดินในขณะฟ้อง เพราะฉะนั้น โจทก์จึงต้องขาดประโยชน์ไป 60,000 บาทเนื่องจากที่โจทก์ไม่ได้รับโอนที่ดินมาเป็นของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 60,000 บาทนี้ กับให้คืนเงินมัดจำกับดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า สัญญาระหว่างโจทก์จำเลยนั้น ไม่ผูกพันเพราะจำเลยถูกหลอกลวงให้เข้าทำสัญญา ทั้งสามีจำเลยบอกล้างด้วยแล้วพิพากษาแก้เพียงให้จำเลยคืนเงินมัดจำ 1,000 บาท เท่านั้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาปรึกษาคดีแล้ว สัญญาระหว่างนายเชยกับจำเลยหมาย ล.3สัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยหมาย ล.4 สัญญาหมาย ล.4 ทำที่บ้านโจทก์สามีโจทก์อยู่ด้วย เมื่อทำสัญญากันแล้ว โจทก์เป็นผู้เก็บสัญญาหมายล.4 และสัญญาหมาย ล.3 จำเลยก็ส่งมอบให้โจทก์เก็บไว้ในคราวเดียวกันนั้นด้วย การที่จำเลยเอาสัญญาหมาย ล.3 มามอบนี้เป็นหลักฐานสำคัญที่จะคลี่คลายให้เห็นว่าเรื่องหลอกลวงไม่มีอย่างที่จำเลยนำสืบ ข้อนำสืบของจำเลยมีว่า จำเลยไปซื้อของขวัญที่ร้านโจทก์ สามีโจทก์พูดขอซื้อที่รายนี้ จำเลยก็ขาย และเซ็นสัญญาหมาย ล.4 ให้ จำเลยนำสืบดังนี้ ลำพังแต่เซ็นสัญญาหมาย ล.4จะอ้างว่าจำเลยถูกหลอกลวง ดังนี้พอจะคิดยาก แต่เหตุใดสัญญาหมาย ล.3จึงติดตัวจำเลยไปในเวลานั้นเล่า การที่จำเลยมอบสัญญาหมาย ล.3 ให้โจทก์ได้ในเวลานั้น แสดงว่าจำเลยเตรียมไว้รอบคอบแล้วในการที่จะเซ็นสัญญาขายที่ดิน มีเวลาคิดหน้าคิดหลัง ไม่ใช่เรื่องถูกหลอก จำเลยนำสืบถึงคำสนทนาระหว่างโจทก์จำเลยมีข้อความต่าง ๆ นานา จะให้เห็นว่าจำเลยถูกจูงใจนั้นไม่สอดคล้องกับพฤติการณ์หาน่าเชื่อไม่ อีกข้อหนึ่ง ความจริงปรากฏอยู่ว่า ที่รายนี้การขายให้นางเหรียญ นางบุญล้อม ผู้ขายได้ราคาสูงกว่าที่ตกลงจะขายให้โจทก์เป็นผลกำไร มิใช่ขาดทุน เมื่อเป็นเช่นนี้ จะคิดได้อย่างไรว่า จำเลยถูกหลอกลวง ข้อที่ว่าจำเลยถูกหลอกฟังไม่ได้

ส่วนการบอกล้างเป็นการใช้สิทธิสุจริตจริงหรือไม่นั้น มีเอกสารเป็นหลักฐานประกอบกับคำนายเชยผู้ขายเดิม กล่าวคือ เกิดมีสัญญาขึ้นอีกฉบับหนึ่ง ระหว่างสามีจำเลยกับนายเชยเกี่ยวกับการจะซื้อขายที่รายนี้ ส่อให้เห็นว่าการบอกล้างของสามีจำเลยเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตอย่างที่ศาลแพ่งอธิบายไว้

อนึ่ง ศาลอุทธรณ์ว่า โจทก์ตระหนักอยู่แล้วว่า การเสี่ยงเข้าทำสัญญาจะซื้อขายนี้ อาศัยความสำเร็จจากนายเชยคนนอกสัญญาไม่เป็นการที่โจทก์เสียหาย และไม่เป็นเรื่องผิดสัญญา ข้อเหล่านี้ไม่ใช่หลักเกณฑ์ ศาลนี้หาเห็นพ้องด้วยไม่ สัญญาจะซื้อขายเช่นคดีนี้เป็นสัญญาใช้ได้ จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญา ไม่มีข้อแก้ เป็นการผิดสัญญาโดยตรง เมื่อบังคับตามสัญญาไม่ได้ ก็ต้องให้ใช้ค่าเสียหายไม่มีเหตุอันใดจะเว้นเสียได้

การกะค่าเสียหาย โจทก์ถือราคาที่ดินเมื่อฟ้องเป็นเกณฑ์การกะค่าเสียหายจะถือเช่นนั้นหาได้ไม่ ไม่มีหลักฐานอันเพียงพอเช่นข้อซึ่งราคาที่ดินขึ้นสูงลิ่ว หรือที่ดินโจทก์ซื้อเพื่อเอาไว้ค้า เหล่านี้ไม่ได้ความว่า จำเลยรู้แล้วโดยตลอดในเมื่อจำเลยทำผิดสัญญา ค่าเสียหายในคดีนี้ คือราคาที่ดินที่เหลื่อมล้ำในครั้งที่จะขายแก่โจทก์ และในครั้งที่ขายเด็ดขาดให้นางเหรียญนางบุญล้อม ครั้งขาย นางเหรียญ นางบุญล้อม สูงกว่า ไร่ละ 800 บาท 15 ไร่ เป็นเงิน 12,000 บาท

ศาลนี้พิพากษาแก้ ให้จำเลยคืนมัดจำ 1,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7 ครึ่ง ต่อปี นับจากวันฟ้องจนวันใช้เงินเสร็จ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 12,000 บาท ให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมค่าทนาย 3 ศาล 3,500 บาท แก่โจทก์

Share