คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6378/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ครอบครองที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยโดยสงบ เปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันมาเกินกว่า 10 ปีแล้วโจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินแก่โจทก์ เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์คือราคาที่ดินซึ่งโจทก์ก็เสียมาถูกต้องแล้ว แม้ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเหตุที่ว่าที่ดินตามฟ้องยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงขอบังคับให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์มิได้ ก็ไม่ทำให้คดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้กลายเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับโดยไม่คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาทแก่โจทก์ จึงมิใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินอัตราที่บัญญัติไว้ในตาราง 1 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ฟ้องเสียค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ราคาที่ดิน ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยสั่งให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ การที่โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมว่าเมื่อศาลชั้นต้นเห็นว่า ไม่ใช่เรื่องโต้แย้งสิทธิแต่เป็นการใช้สิทธิทางศาล ศาลก็ชอบที่จะเรียกค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ขอให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่เกิน เป็นการอุทธรณ์ว่าการที่ศาลชั้นต้นสั่งเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมดังกล่าวมีผลเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลตามทุนทรัพย์ราคาที่ดินอันเป็นการกำหนดหรือคำนวณค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว และในกรณีอุทธรณ์ว่าค่าฤชาธรรมเนียมมิได้กำหนดหรือคำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมายเช่นนี้ แม้จะมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาโดยตรงของคดีด้วย ก็ไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 168

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ของจำเลยโดยความสงบ เปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า ๑๔ ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินแปลงนี้ขอให้ศาลพิพากษาบังคับให้จำเลยจัดการโอนที่แปลงนี้ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่จัดการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และเสียค่าขึ้นศาลเป็นเงิน ๕,๖๓๕ บาท โดยกำหนดทุนทรัพย์ตามราคาที่ดิน
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้และวินิจฉัยว่าการจะได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา ๑๓๘๒ นั้น ทรัพย์สินของผู้อื่นจะต้องเป็นทรัพย์สินที่เจ้าของมีกรรมสิทธิ์ที่ดินตามฟ้องยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงขอบังคับให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์มิได้ ทั้งตามฟ้องไม่ปรากฏว่าจำเลยโต้แย้งสิทธิในการครอบครองแต่ประการใดโจทก์จึงยังไม่อาจเสนอคดีของตนต่อศาลได้ พิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมว่า ศาลชั้นต้นกำหนดหรือคำนวณค่าขึ้นศาลไม่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะโจทก์ขอให้ศาลมีคำสั่งว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่ดินโดยการครอบครองซึ่งเป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ทั้งเมื่อศาลเห็นว่าไม่ใช่เรื่องการโต้แย้งสิทธิแต่เป็นการใช้สิทธิทางศาล ศาลก็ชอบที่จะเรียกค่าขึ้นศาลเพียง ๒๐๐ บาท ขอให้คืนค่าฤชาธรรมเนียมส่วนที่เกิน
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์มิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบหรือไม่ถูกต้องอย่างไร คงอุทธรณ์เฉพาะค่าขึ้นศาลว่าเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ อุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๕ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัย พิพากษายกอุทธรณ์โจทก์คืนค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่โจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ฎีกาว่าอุทธรณ์ของโจทก์ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว ศาลชั้นต้นกำหนดหรือคำนวณค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้องตามกฎหมายอันเป็นอุทธรณ์ที่ชอบด้วยกฎหมาย คดีของโจทก์เป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงชอบที่ศาลชั้นต้นจะเรียกค่าฤชาธรรมเนียมคือค่าขึ้นศาลเพียง ๒๐๐ บาท ไม่ใช่เรียกค่าขึ้นศาล ๕,๖๓๕ บาท อย่างคดีมีทุนทรัพย์พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่าโจทก์อุทธรณ์โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นไว้หรือไม่นั้นเห็นว่า โจทก์อุทธรณ์ไว้แล้วว่าคดีนี้เป็นคดีไม่มีข้อพิพาท ศาลชั้นต้นชอบที่จะเรียกค่าขึ้นศาลเพียง ๒๐๐ บาท ไม่ใช่ ๕,๖๓๕ บาท การที่ศาลชั้นต้นสั่งให้ฤชาธรรมเนียมเป็นพับซึ่งมีผลเป็นการเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเป็นเงินถึง ๕,๖๓๕ บาท เท่าที่โจทก์เสียมาแต่แรก เป็นการกำหนดหรือคำนวณค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ถือได้ว่าโจทก์ได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว และในกรณีอุทธรณ์ว่าค่าฤชาธรรมเนียมมิได้กำหนดหรือคำนวณให้ถูกต้องตามกฎหมาย เช่นนี้ แม้จะมิได้อุทธรณ์ในเนื้อหาโดยตรงของคดีขึ้นมาด้วย ก็ไม่ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา ๑๖๘ ศาลอุทธรณ์ไม่รับวินิจฉัยจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นความวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปโดยไม่ต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าโจทก์ครอบครองที่ดินมีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยโดยสงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของติดต่อกันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว โจทก์จึงได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินแก่โจทก์ คดีของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ต้องเสียค่าขึ้นศาลตามจำนวนทุนทรัพย์คือราคาที่ดินซึ่งโจทก์ก็เสียมาถูกต้องในขณะยื่นคำฟ้องแล้ว แม้ต่อมาศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์โดยเหตุที่ว่าที่ดินตามฟ้องยังไม่มีหนังสือสำคัญแสดงกรรมสิทธิ์ โจทก์จึงขอบังคับให้ได้มาซึ่งกรรมสิทธิ์มิได้ ก็ไม่ทำให้คดีมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้กลายเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ การที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ค่าฤชาธรรมเนียมเป็นพับโดยไม่คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน ๒๐๐ บาท แก่โจทก์จึงมิใช่เป็นกรณีที่ศาลชั้นต้นเรียกเก็บค่าขึ้นศาลเกินอัตราที่บัญญัติไว้ในตาราง ๑ ท้าย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลชั้นต้นมิได้คำนวณหรือกำหนดค่าฤชาธรรมเนียมไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
พิพากษากลับ บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ ฎีกาให้เป็นพับ

Share