แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์กล่าวว่า หลังจากจำเลยยื่นคำให้การแล้ว โจทก์ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์แล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตร และเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินในเวลาต่อมาโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอันเป็นการออกเอกสารสิทธิทับที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบ โจทก์จึงขอแก้ไขคำฟ้องโดยการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงดังกล่าวลงในคำฟ้องข้อ 1 และข้อ 2 กับขอเพิ่มเติมคำขอท้ายฟ้องว่าให้จำเลยจัดการแก้ไขรายการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินพิพาทให้ปลอดจากการจำนอง แล้วจดทะเบียนโอนให้โจทก์ โดยโจทก์มิได้ระบุรายละเอียดว่าโจทก์จะขอเพิ่มเติมข้อเท็จจริงลงในคำฟ้องข้อ 1 หรือข้อ2 ตรงไหน เป็นคำร้องที่ไม่แจ้งชัด ไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินพิพาทตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) เลขที่ 327 หมู่ที่ 1ตำบลสำโรงพลัน อำเภอไพรบึง (เดิมเป้นอำเภอขุขันธ์)จังหวัดศรีสะเกษ เนื้อที่ 13 ไร่ 2 งาน เมื่อประมาณเดือนธันวาคม2527 โจทก์ได้กู้ยืมเงินจำเลยจำนวน 4,000 บาท แล้วมอบที่ดินพิพาทพร้อมหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ย ตกลงกันว่าเมื่อโจทก์มีเงินจะไปไถ่คืน ต่อมาเดือนกรกฎาคม 2535 โจทก์นำเงินจำนวน 4,000 บาทไปขอไถ่ที่ดินคืน แต่จำเลยปฏิเสธเกี่ยวจะเอาดอกเบี้ยทำให้โจทก์เสียหายขาดประโยชน์จากการใช้ซึ่งหากนำไปให้ผู้อื่นเช่า จะได้ค่าเช่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,000 บาท ขอให้บังคับขับไล่จำเลยและบริวารออกจากที่ดินพิพาท ห้ามมิให้เข้าไปเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยคืนหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3) ที่ดินพิพาทเลขที่ 327 ให้แก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยกู้ยืมเงินจากจำเลยโดยมอบที่ดินพิพาทให้ทำกินต่างดอกเบี้ย ที่ดินพิพาทเป็นของจำเลยจำเลยได้ครอบครองทำประโยชน์ในฐานะเจ้าของโดยความสงบเปิดเผยมากกว่า 20 ปี และเป็นผู้ขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตลอดจนโฉนดที่ดินพิพาทโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้านขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาโจทก์ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ฎีกาข้อต่อมาคัดค้านการที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์นั้น เห็นว่าคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์กล่าวไว้แต่เพียงว่า หลังจากจำเลยยื่นคำให้การและยื่นบัญชีระบุพยานแล้ว โจทก์ได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยนำที่ดินพิพาทซึ่งเป็นของโจทก์ไปออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก) แล้วนำไปจดทะเบียนจำนองไว้แก่สหกรณ์การเกษตรไพรบึง จำกัดและเปลี่ยนเป็นโฉนดที่ดินในเวลาต่อมาโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมอันเป็นการออกเอกสารสิทธิทับที่ดินของโจทก์โดยไม่ชอบโจทก์จึงขอแก้ไขคำฟ้องโดยการเพิ่มเติมข้อเท็จจริงดังกล่าวลงในคำฟ้องข้อ 1 และข้อ 2 กับขอเพิ่มเติมคำขอท้ายฟ้องว่าให้จำเลยจัดการแก้ไขรายการจดทะเบียนในโฉนดที่ดินพิพาทให้ปลอดจากการจำนอง แล้วจดทะเบียนโอนให้โจทก์โดยโจทก์มิได้ระบุรายละเอียดว่าโจทก์จะขอเพิ่มเติมข้อเท็จจริงลงในคำฟ้องข้อ 1 หรือข้อ 2 ตรงไหน คำร้องขอแก้ไขคำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำร้องขอแก้ไขคำฟ้องที่ไม่แจ้งชัดไม่ชอบที่จะรับไว้พิจารณา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย”
พิพากษายืน