คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 634/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ที่ดินที่ภริยาซื้อมาระหว่างสมรส ถือว่าเป็นสินสมรสแม้ว่าภริยาจะเอาเงินสินเดิมของตนมาซื้อก็ตาม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรขุนเชาวนภูนจรุงเกิดจากมารดาชื่อหริ่ง มารดาโจทก์วายชนม์ ต่อมาบิดาโจทก์มาได้จำเลยเป็นภริยาอยู่กินด้วยกันจนบิดาโจทก์ถึงแก่กรรม มีที่ดินเป็นมรดกของบิดาโจทก์ตกได้แก่ทายาท ขอให้ศาลพิพากษาแบ่งมรดกให้โจทก์

จำเลยให้การว่า ที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นเงินส่วนตัวของจำเลยมีมาแต่เดิมเรียกว่าสินเดิมเอามาซื้อ มิได้เกี่ยวข้องกับเงินของบิดาโจทก์ ที่รายนี้จึงเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยผู้เดียว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้แบ่ง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ (แก้บางข้อ แต่ก็ยังให้แบ่ง)

โจทก์จำเลยต่างฎีกา

จำเลยฎีกาว่า เงินที่ซื้อที่รายพิพาทเป็นสินเดิมของจำเลยคดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยว่า แม้เอาเงินสินเดิมของจำเลยไปซื้อที่พิพาท ที่พิพาทจะเป็นสินเดิมหรือไม่ ตามมาตรา 1466 ให้ถือว่า ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรสอันแสดงว่าไม่คำนึงว่าจะให้มาโดยทางใด จะได้มาโดยทางรับมรดกหรือโดยทางซื้อทรัพย์นั้นมาก็เป็นสินสมรสทั้งสิ้นกรณีในคดีเรื่องนี้ไม่เกี่ยวด้วยมาตรา 1463 หรือ 1464 มีปัญหาที่จะวินิจฉัยเพียงว่า จะต้องด้วยมาตรา 1465 หรือไม่เท่านั้น ตามมาตรา 1465(1) ระบุถึงกรณีที่สินเดิมได้ขายหรือแลกเปลี่ยน ให้เอาทรัพย์ที่ได้มาใหม่เป็นสินเดิมแทนกรณีในคดีนี้ไม่ใช่ขายสินเดิมหรือแลกเปลี่ยน แต่เป็นเรื่องเอาเงินสินเดิมไปซื้อทรัพย์อันตรงกันข้ามกับการขายและไม่ใช่แลกเปลี่ยน เพราะไม่ใช่เป็นการเอาทรัพย์สินต่อทรัพย์สินแลกเปลี่ยนกัน แต่เป็นการเอาเงินไปชำระราคาในการซื้อขาย ฉะนั้นจึงไม่เข้าในกรณีตามอนุมาตรา (1) แห่งมาตรา 1465 อนุมาตรา (2) ระบุว่า ทำลายไปหมดหรือแต่บางส่วน แต่ได้ทรัพย์สินอื่นมาแทนศาลฎีกาเห็นว่าการเอาเงินสินเดิมไปซื้อทรัพย์มา ไม่เรียกว่าเงินสินเดิมนั้นถูกทำลาย หากจะแปลว่าเมื่อทรัพย์สินศูนย์สิ้นไปไม่ว่าโดยทางใด ก็ถือว่าทำลายแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องบัญญัติอนุมาตรา (1) ไว้ ศาลฎีกาจึงเห็นว่า ทรัพย์รายพิพาทเป็นสินสมรส

เมื่อวินิจฉัยฎีกาโจทก์แล้ว จึงพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เฉพาะเรื่องค่าทำศพให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share