แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องเป็นเหตุให้จำนวนภาษีขายคลาดเคลื่อนไป จำเลยจึงต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีขายที่แสดงไว้ขาดไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา 89 (4) และการกระทำของจำเลยดังกล่าวมิใช่เป็นการมิได้ทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนดหรือรายงานอื่นตามที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา 87/1 หรือมีสินค้าขาดจากรายงานสินค้าและวัตถุดิบ อันจะทำให้ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษีซึ่งคำนวณจากฐานภาษีที่มิได้ทำรายงานหรือมิได้ลงรายการในรายงานให้ถูกต้องตามมาตรา 89 (10)
การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม พ.ร.บ. จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. 2528 มาตรา 29 ประกอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และมาตรา 246
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดในหนี้ค่าภาษีจำนวน ๗๒,๙๑๗,๕๓๖.๐๖ บาท แก่โจทก์ พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนในค่าภาษีจำนวน ๓๘๑,๙๕๒.๒๙ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่ไม่เกิน ๙,๕๔๘.๘๑ บาท
จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน ๗๒,๘๒๘,๔๑๓.๘๖ บาท พร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน ๓๘๑,๙๕๒.๒๙ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มที่คำนวณใหม่ต้องไม่เกิน ๙,๕๔๘.๘๑ บาท คำขออื่น นอกจากนี้ให้ยก
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกภาษีอากรวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยในชั้นอุทธรณ์ว่า การที่ศาลภาษีอากรกลาง วินิจฉัยให้จำเลยทั้งสองต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ (๑๐) เพียงอนุมาตราเดียวเป็นการชอบหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในเดือนตุลาคม ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ ได้ขายสินค้ากระดาษในราคาต่ำกว่าราคาต้นทุนสินค้าโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นเหตุให้ยอดขายสินค้าที่จำเลยที่ ๑ แสดงไว้ต่ำไปเป็นเงิน ๑,๒๗๓,๑๗๔.๒๙ บาท คิดเป็นภาษีขายจำนวน ๘๙,๑๒๒.๒๐ บาท เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์จึงประเมินให้จำเลยที่ ๑ ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มเพิ่มเติมเป็นเงิน ๘๙,๑๒๒.๒๐ บาท เบี้ยปรับตามมาตรา ๘๙ (๔) และ (๑๐) จำนวน ๒๖๗,๓๖๖.๖๐ บาท และเงินเพิ่ม ๘๙,๑๒๒.๒๐ บาท รวม ๔๔๕,๖๑๑ บาท เห็นว่า การกระทำของจำเลยที่ ๑ เป็นการยื่นแบบแสดงรายการภาษีไว้ไม่ถูกต้องอันเป็นเหตุให้จำนวนภาษีขายในเดือนภาษีตุลาคม ๒๕๓๖ คลาดเคลื่อนไป จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีขายที่แสดงไว้ขาดไปตามประมวลรัษฎากร มาตรา ๘๙ (๔) และการกระทำของจำเลยที่ ๑ ดังกล่าวมิใช่เป็นกรณีมิได้ทำรายงานตามที่กฎหมายกำหนดหรือรายงานอื่นตามที่อธิบดีกำหนดตามมาตรา ๘๗/๑ หรือมีสินค้าขาดจากรายงาน สินค้าและวัตถุดิบ อันจะทำให้ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับอีกสองเท่าของเงินภาษีซึ่งคำนวณจากฐานภาษีที่มิได้ทำรายงานหรือมิได้ลงรายการในรายงานให้ถูกต้องตามมาตรา ๘๙ (๑๐) ดังที่เจ้าพนักงานประเมินของโจทก์ได้ทำการประเมิน ดังนั้น จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับเพียงหนึ่งเท่าของจำนวนภาษีขายที่แสดงไว้ขาดไปตามมาตรา ๘๙ (๔) เท่านั้น ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์ แต่เป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกา ย่อมมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ. ๒๕๒๘ มาตรา ๒๙ ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ (๕) และมาตรา ๒๔๖ การประเมินของ เจ้าพนักงานประเมินในส่วนนี้จึงไม่ชอบ ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดเสียเบี้ยปรับตามมาตรา ๘๙ (๑๐) นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินภาษีอากรจำนวน ๗๒,๗๓๙,๒๙๑.๖๖ บาท พร้อมเงินเพิ่ม ในอัตราร้อยละ ๑.๕ ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของเงินภาษีเงินได้นิติบุคคลจำนวน ๓๘๑,๙๕๒.๒๙ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ แต่เงินเพิ่มที่คำนวณใหม่ต้องไม่เกิน ๙,๕๔๘.๘๑ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง