แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คู่ความตกลงกันสืบพะยานร่วมคนเดียว แล้วให้ศาลพิพากษาไป เมื่อสืบพะยานร่วมเสร็จ คู่ความก็ขอให้ศาลนัดตัดสิน ดังนี้ เมื่อคำเบิกความของพะยานฟังเป็นแน่นอนไม่ได้ ก็ไม่สมควรที่จะให้มีการพิจารณากันใหม่ แต่ต้องกลับไปพิจารณาถึงประเด็นแห่งคดี คือ จำเลยให้การฟ้องแย้งว่าได้มอบทองไว้แก่โจทก์หนัก 4 บาท 2 สลึง โจทก์ให้การว่า ทองที่มอบไว้มีน้ำหนักเพียงบาทเดียว เมื่อจำเลยไม่มีพะยานสนับสนุนคำกล่าวอ้าง ก็ต้องฟังตามคำรับของโจทก์ว่า มีน้ำหนักเพียงบาทเดียว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้และดอกเบี้ยรวม ๓๕๐ บาท จำเลยให้การว่าเดิมจำเลยกู้เงินโจทก์ แล้วมอบโฉนดกับเครื่องทองรูปพรรณหนัก ๔ บาท ๒ สลึงเป็นประกัน ต่อมาได้ทำสัญญาแปลงหนี้ใหม่เป็นสัญญากู้เงินรายนี้ จำเลยได้พยายามทวงคืนโจทก์ขออายัติ จึงฟ้องแย้งเรียกทองของจำเลยคืน หรือใช้ราคา ๒๐๐๐ บาท โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ความจริงจำเลยกู้เงินโจทก์ไปเมื่อ ๑๘-๑๙ ปี จำเลยมอบโฉนดและทองหนัก ๑ บาทให้โจทก์ยึดเป็นประกัน เมื่อจำเลยค้างดอกเบี้ย ๔-๕ ปีแล้ว จำเลยยอมยกทองตีราคาใช้หนี้ กับตัดฟ้องว่า คดีขาดอายุความ โจทก์จำเลยตกลงสืบนายเฮงหรือประสานพะยานร่วมปากเดียว นายเฮงเบิกความอย่างไรขอให้ศาลพิพากษาไปตามคำพนายเฮงทีเดียว ไม่ต้องสืบพะยานอื่นอีกต่อไป สืบนายเฮงแล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓๕๐ บาทให้โจทก์ และให้โจทก์คืนทองหนัก ๔ บาท ๒ สลึง ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาอัตราบาทละ ๕๐๐ บาท ให้หักเงิน ๓๕๐ บาทจากจำนวนนี้ ศาลอุทธรณ์แก้ให้โจทก์คืนทองหนัก ๔ บาท หรือราคา ๒๐๐๐ บาทให้โจทก์ นอกจากนั้นคงยืน มีผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์นายหนึ่งแย้งว่า เห็นควรให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ดำเนินการพิจารณาพิพากษาใหม่
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า นายประสานเบิกความว่า การกู้ครั้งแรกจำเลยมอบโฉนดกับทองรูปพรรณให้โจทก์ยึดไว้ ทองหนักเท่าใดจำไม่ได้ ในเวลาทำสัญญากู้ฉะบับหลัง โจทก์บอกว่าทองรูปพรรณที่ยึดไว้นั้นเอาไปยุบเสียแล้ว โดยอ้างว่าเป็นทองเก๊คือมีทองทับเล็กน้อย นอกนั้นเป็นแกนอื่น ไม่ใช่ทอง แล้วเกิดโต้เถียง จำเลยจะเอาทอง ผลที่สุดตกลงทำสัญญากู้ฉะบับใหม่ต่อกัน โดยฝ่ายโจทก์รับรองจะนำทองมาให้เท่าที่เหลือ หรือตามน้ำหนักทั้งหมด จำไม่ได้ ทองรูปพรรณที่จำเลยให้โจทก์ยึดไว้นั้น ได้ลงน้ำหนักในสัญญาเก่า แต่จำไม่ได้ จำได้แต่ว่าจำเลยไปบอกว่า ๔ บาท ๒ สลึง
ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยมอบทองให้โจทก์เท่าใด พะยานจำไม่ได้ จึงต้องพิจารณาตามคำฟ้อง และฟ้องแย้งต่อไป จำเลยฟ้องแย้งว่ามอบทองให้โจทก์ ๔ บาท ๒ สลึง โจทก์ให้การว่ามีน้ำหนักเพียงบาทเดียว เมื่อจำเลยไม่มีพะยานสนับสนุน จึงต้องฟังตามคำรับของโจทก์ว่ามีน้ำหนักเพียงบาทเดียว นายประสานว่าทองราคาบาทละ ๕๐๐ บาท จึงต้องถือตามพะยานว่า ส่วนข้อที่ว่าพะยานเบิกความฟังไม่ได้ จะควรให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า คู่ความตกลงสืบพะยานร่วมคนเดียวแล้ว ให้ศาลพิพากษาไปทีเดียว เมื่อสืบพะยานเสร็จแล้ว คู่ความขอให้ศาลนัดตัดสิน ศาลฎีกาไม่เห็นสมควรจะให้มีการพิจารณาใหม่
พิพากษาแก้ ให้โจทก์คืนทองน้ำหนัก ๑ บาท หรือราคา ๕๐๐ บาท.