แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สัญญากู้เดิมมีชื่อโจทก์จำเลยเป็นผู้ให้กู้ทั้ง 2 คน แล้วภายหลังจำเลยทำสัญญากู้ขึ้นใหม่มีข้อความเหมือนฉะบับเดิมทุกประการ แต่เอาชื่อโจทก์ออกเสีย คงลงชื่อจำเลยเป็นผู้ให้กู้แต่ผู้เดียว ดังนี้ผิดฐานปลอมหนังสือตามมาตรา 222-224 การยกสัญญากู้ให้แก่กัน ถ้าได้ส่งมอบให้แก่ผู้รับให้แลได้บอกลูกหนี้ให้ทราบ นับ+การให้ไม่สมบูรณ์ ควรยกสัญญากู้ให้แก่กัน แม้ตามกฎหมายเก่าก็ต้องมีการมอบมิฉะนั้นไม่สมบูรณ์
ย่อยาว
ทางพิจารณาได้ความว่าเงินตามสัญญากู้ ๔ ฉะบับเดิมเป็นเงินของ ป.บิดาสามีโจทก์แลจำเลย และลงชื่อ ป.เป็นผู้ให้กู้เมื่อ ป.ใกล้จะตายได้พูดว่ายกเงินตามสัญญากู้นี้ให้จำเลย ครั้นเมื่อ ป.ตายแล้ว น.สามีโจทก์ได้เรียกผู้กู้มาเปลี่ยนสัญญากู้เสียใหม่ จึงได้แยกหนังสือกู้ออกเป็น ๔ ฉะบับลงชื่อบุตร์ผู้กู้เดิมเป็นผู้กู้แทน สัญญากู้ที่ทำขึ้นใหม่นี้ฉะบับหนึ่งลงชื่อ น.สามีโจทก์เป็นผู้ให้กู้ ส่วนอีก ๓ ฉะบับลงชื่อ น.กับ จำเลยเป็นผู้ให้กู้ต่อมาสามีโจทก์ตาย จำเลยจึงเรียกลูกหนี้ ๔ รายนี้มาจัดการทำหนังสือขึ้นใหม่ลงวันเดือนปีจำนวนเงิน แลข้อความอื่น ๆ เหมือนหนังสือเดิมทุกประการ เว้นแต่เอาชื่อ น.สามี โจทก์ออกเสีย แล้วลงชื่อ จำเลยคนเดียวเป็นผู้ให้กู้ทั้ง ๔ ฉะบับ
ศาลเดิมตัดสินว่าจำเลยมีผิดฐานปลอมหนังสือตาม ม.๒๒๒-๒๒๔ ให้จำคุก ๑ ปี ๔ เดือน
ศาลอุทธรณพิพากษาให้ยกฟ้อง
ศาลฎีกาเห็นว่า ป.ได้พูดยกเงินกู้รายนี้ให้จำเลยซึ่งเป็นเวลาเมื่อใช้ประมวลแพ่งฯแล้ว โดยมิได้ส่งมอบสัญญากู้แก่จำเลยทั้งมิได้บอกให้ลูกหนี้ทราบด้วย การให้จึงไม่สมบูรณ์ตาม ม.๕๒๔ แม้จะฟังว่า ป.พูดยกให้เมื่อก่อนใช้ประมวลแพ่ง ฯ การให้ก็ไม่สมบูรณ์เพราะ ป.มิได้หยิบยกเอาเอกสารกู้ให้ถึงมือจำเลย แลเห็นว่าเงินตามสัญญากู้ไม่ใช่เงินจำเลยคนเดียว มี น.สามีโจทก์มีส่วนเป็นเจ้าของอยู่ด้วย การที่จำเลยเอาชื่อ น.ออกเสียแล้วใส่ชื่อจำเลยเป็นเจ้าของเงินคนเดียวย่อมทำให้โจทก์ผู้เป็นภรรยา น.เสียหาย จำเลยต้องมีผิดฐานปลอมหนังสือตาม ม.๒๒๒ – ๒๒๔ พิพากษาให้จำคุกจำเลย ๖ เดือน