คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6321/2541

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่จำเลยได้พาหรือชักจูงผู้เสียหาย (อายุ 12 ปีเศษ)ไปจากบริเวณถนนหน้าบ้านอาของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ ไปยังบ้านเพื่อนของจำเลยและได้กระทำชำเราผู้เสียหาย ย่อมเป็นการไม่ถูกต้องด้วยทำนองคลองธรรมแล้วจำเลยพาผู้เสียหายกลับมาส่งที่บ้านพัก กรณีถือได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือ ผู้ดูแลเพื่อการอนาจารตอนหนึ่งแล้ว ครั้นจำเลยกระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี ไม่ว่าผู้เสียหายยินยอมหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยในตอนหลังก็เป็นความผิดสำเร็จในอีกขั้นตอนหนึ่ง อันถือเป็นคนละขั้นตอน หรือเป็นคนละกรรมกับการกระทำความผิดในขั้นตอนแรก การกระทำ ของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม การที่จำเลยกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายก็เพื่อกระทำชำเราผู้เสียหาย และในเวลาเดียวกันจำเลยก็ได้กระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่รวม 8 ครั้ง หลังจากนั้นตอนที่จำเลยพาผู้เสียหายมาไว้ที่หอพักจนกระทั่งจำเลยพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านพักก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำอนาจารหรือกอดจูบลูบคลำผู้เสียหายใด ๆ อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก ข้อนี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะไม่ฎีกาศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2539 เวลากลางคืนหลังเที่ยงถึงที่ 5 สิงหาคม 2539 เวลากลางวันต่อเนื่องกันจำเลยกระทำความผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน กล่าวคือจำเลยพรากเด็กหญิงวิไลลักษณ์ ชอบแต่ง ผู้เสียหายอายุไม่เกิน15 ปี ไปเสียจากนายหมัดกอเฉม ชอบแต่ง และนางเบญจมาศ ชอบแต่งบิดามารดา ขณะอยู่ในความดูแลของนางสาวอินทิรา สันโต๊ะโส๊ปโดยปราศจากเหตุอันสมควรเพื่อการอนาจาร และจำเลยได้กระทำอนาจารกอดจูบและกระทำชำเราเด็กหญิงวิไลลักษณ์ผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี (อายุ 12 ปี 1 เดือนเศษ) จนสำเร็จความใคร่หลายครั้งโดยเด็กหญิงนั้นยินยอม เหตุเกิดที่ตำบลสะเตงอำเภอเมืองยะลา จังหวัดยะลา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 279, 317
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยกระทำความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง ที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317 วรรคสาม ฐานชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปีให้จำคุก 7 ปี ฐานพรากผู้เยาว์ให้จำคุก 5 ปี รวมจำคุก 12 ปีจำเลยอายุไม่เกิน 20 ปี ประกอบขณะนี้จำเลยกำลังเรียนที่โรงเรียนยะหาศิรยานุกูล อำเภอยะหา จังหวัดยะลา ประกอบกับบิดาผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ สมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 เป็นจำคุก 6 ปีจำเลยให้การรับสารภาพตลอดมาตั้งแต่ชั้นจับกุมจนถึงชั้นพิจารณาของศาล เป็นเหตุบรรเทาโทษ สมควรปรานีลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 279 วรรคแรกกรณีเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจารตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคสาม เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยอายุไม่เกิน20 ปี และกำลังศึกษาอยู่ ประกอบกับบิดามารดาผู้เสียหายไม่ติดใจเอาความ สมควรลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 76 ฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุไม่เกิน 13 ปี จำคุก3 ปี 6 เดือนฐานพรากเด็กหญิงอายุไม่เกิน 15 ปี เพื่อการอนาจารจำคุก 2 ปี 6 เดือนรวมจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นจับกุมถึงชั้นพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยได้กระทำผิดหลายกรรมหรือไม่ พิเคราะห์แล้วเห็นว่าการที่จำเลยได้พาผู้เสียหายหรือชักจูงผู้เสียหายไปจากบริเวณถนนหน้าบ้านของนางสาวอินทิราอาของผู้เสียหายที่ผู้เสียหายพักอาศัยอยู่ตรงไปยังบ้านเพื่อนของจำเลยและได้กระทำชำเราผู้เสียหายด้วยไม่ถูกต้องด้วยทำนองคลองธรรมแล้วพาผู้เสียหายกลับมาส่งที่บ้านพัก กรณีย่อมถือได้ว่าจำเลยโดยปราศจากเหตุอันสมควรได้พรากผู้เสียหายอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดาหรือผู้ดูแลเพื่อการอนาจารแล้วตอนหนึ่ง ครั้นจำเลยกระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายอายุไม่เกิน 13 ปี โดยผู้เสียหายยินยอมหรือไม่ก็ตาม การกระทำของจำเลยก็ต้องเป็นความผิดสำเร็จในอีกขั้นตอนหนึ่ง อันถือเป็นคนละขั้นตอนหรือเป็นคนละกรรมกับการกระทำความผิดในขั้นตอนแรก การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิด 2 กรรม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า จำเลยมีความผิดฐานกระทำอนาจารผู้เสียหายอีกบทหนึ่งด้วยหรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยกอดปล้ำถอดเสื้อผ้าผู้เสียหายก็เพื่อการกระทำชำเราผู้เสียหายนั้นเองและในเวลาเดียวกันจำเลยก็ได้กระทำชำเราหรือร่วมเพศกับผู้เสียหายจนสำเร็จความใคร่รวม 8 ครั้ง หลังจากนั้นตอนที่จำเลยพาผู้เสียหายมาไว้ที่หอพักบริเวณหน้าโรงพยาบาลศูนย์ยะลาหรือจนกระทั่งจำเลยพาผู้เสียหายไปส่งที่บ้านพักก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำอนาจารหรือกอดจูบลูบคลำผู้เสียหายใด ๆ อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานกระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 15 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรกซึ่งข้อนี้แม้จำเลยจะไม่ฎีกาก็เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และเห็นสมควรรอการลงโทษให้จำเลย
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งด้วยซึ่งเมื่อลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งแล้วคงปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง 20,000 บาทและปรับตามมาตรา 317 วรรคสาม 20,000 บาท รวม 2 กระทงปรับ 40,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้อีกกึ่งหนึ่ง คงปรับ20,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 โทษจำคุกทั้ง 2 กระทง ให้รอการลงโทษไว้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มีกำหนด 3 ปีโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมความประพฤติ 3 เดือนต่อหนึ่งครั้งเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และทุกครั้งที่ไปรายงานตัวให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่เจ้าพนักงานและจำเลยเห็นสมควร รวมแล้วมีกำหนด 24 ชั่วโมง ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 279 วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 90 ให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share