แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยนำแถบบันทึกเสียงที่มีผู้สนทนากันกล่าวถึงผู้เสียหายทั้งสองมีพฤติกรรมในทางชู้สาวต่อกันที่โรงเรียนที่ผู้เสียหายทั้งสองสอนอยู่ไปเปิดให้นาย ส.ม.หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอกับพวกฟังที่บ้านของนาย ส.ม.โดยเกิดจากการแนะนำของนาย ส.กับนายส.ม. และผู้ร่วมฟังแถบบันทึกเสียงก็เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาทั้งสิ้น ทั้งไม่ใช่เปิดในที่สาธารณสถานเป็นทำนองปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะหากผู้เสียหายทั้งสองกระทำการในทางชู้สาวจริง นอกจากจะผิดต่อศีลธรรมแล้วยังผิดในทางวินัยข้าราชการอีกด้วย เนื่องจากผู้เสียหายทั้งสองต่างรับราชการเป็นครูและต่างมีสามีและภรรยาแล้ว ดังนั้น การกระทำดังกล่าวจึงไม่มีเจตนาที่จะใส่ความผู้เสียหายทั้งสองให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือเสียหาย แต่เป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำจำเลยไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้หมิ่นประมาทผู้เสียหายทั้งสองโดยจำเลยได้บันทึกเสียงการสนทนาของผู้อื่นลงในแถบบันทึกเสียงมีข้อความว่าผู้เสียหายทั้งสองเป็นชู้กันแล้วนำแถบบันทึกเสียงนั้นเปิดโฆษณาใส่ความผู้เสียหายทั้งสองต่อบุคคลที่สาม ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 328 และริบแถบบันทึกเสียงของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 328 ลงโทษจำคุก 2 เดือน ปรับ 5,000 บาท พิจารณาพฤติการณ์แห่งคดีจากพยานหลักฐานของโจทก์ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับบังคับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบแถบบันทึกเสียงของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ริบของกลาง
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยได้นำแถบบันทึกเสียงที่จ่าสิบเอกชลอหรือเปี๊ยก มหาดามินทร์สนทนาถามตอบกับเด็กนักเรียนหญิงหลายคนในลักษณะการสัมภาษณ์มีใจความว่า เด็กนักเรียนหญิงผู้ตอบคำถามรู้เห็นเหตุการณ์ที่ผู้เสียหายทั้งสองมีพฤติการณ์ในทางชู้สาวกันในโรงเรียนบ้านเจดีย์งาม ไปเปิดให้นายสมมี วาเพชร หัวหน้าการประถมศึกษาอำเภอเมืองพะเยากับพวกฟังที่บ้านของนายสมมีและมีผู้บันทึกเสียงดังกล่าวไว้ตามแถบบันทึกเสียงหมาย จ.10 และบันทึกถอดแถบบันทึกเสียงเอกสารหมาย จ.7 มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยดังกล่าวเป็นความผิดตามฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของนายไสว หาญหทัยพันธ์ และนายสุรสิทธิ์ กาวิละ ประกอบบันทึกเอกสารหมาย จ.8 และ จ.9 ว่า ก่อนที่จำเลยจะนำแถบบันทึกเสียงไปเปิดให้นายสมมี วาเพชร ฟังนั้น จำเลยไปพบนายไสวเล่าให้นายไสวฟังว่าจำเลยถูกผู้เสียหายที่ 1 บีบบังคับให้ย้ายโรงเรียนทั้งที่ได้ทำงานอย่างดีแล้วแต่ผู้เสียหายที่ 1 ไม่เข้าใจตนพร้อมทั้งหารือนายไสวว่าจำเลยมีแถบบันทึกเสียงของเด็กนักเรียนหญิงพูดถึงพฤติกรรมของผู้เสียหายทั้งสองในทางชู้สาวอยากจะนำแถบบันทึกเสียงดังกล่าวไปเปิดให้ผู้อำนวยการประถมศึกษาฟังจะดีหรือไม่ นายไสวเห็นว่าควรจะไปปรึกษากับนายสมมี วาเพชรซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาชั้นต้นก่อนโดยนายไสวจะเป็นผู้ประสานงานให้เมื่อนายไสวหารือกับนายสมมีแล้ว นายสมมีแนะนำให้นำมาเปิดฟังที่บ้านนายสมมีเพราะถ้าไปเปิดฟังที่สำนักงานการประถมศึกษาจะไม่เป็นความลับ นายไสวจึงนัดให้จำเลยไปที่บ้านของนายสมมีและนำแถบบันทึกเสียงไปเปิดฟัง มีผู้ฟังคือนายสมมี นายไสวนายสุรสิทธิ์ นายบรรลือ หงส์ใจ และจำเลย ดังนี้เห็นว่าการที่จำเลยนำแถบบันทึกเสียงไปเปิดให้บุคคลดังกล่าวฟังนั้นเกิดจากการแนะนำของนายไสวกับนายสมมีและผู้ร่วมฟังแถบบันทึกเสียงดังกล่าวก็เป็นบุคคลที่เกี่ยวข้องกับวงการศึกษาทั้งสิ้นโดยนอกจากนายไสวและนายสมมีแล้ว นายสุรสิทธิ์ เป็นครูโรงเรียนบ้านแม่ใสช่วยราชการที่สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพะเยา นายบรรลือรับราชการที่สำนักงานการประถมศึกษาจังหวัดพะเยา ทั้งการเปิดแถบบันทึกเสียงดังกล่าวก็เปิดที่บ้านนายสมมีไม่ใช่เปิดในที่สาธารณสถานเป็นทำนองปรึกษาหารือกันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะหากผู้เสียหายทั้งสองกระทำการในทางชู้สาวจริง นอกจากจะผิดต่อศีลธรรมแล้วยังผิดในทางวินัยข้าราชการอีกด้วย เนื่องจากผู้เสียหายทั้งสองต่างรับราชการเป็นครูและต่างมีสามีและภรรยาแล้ว ดังนั้น การที่จำเลยนำแถบบันทึกเสียงของผู้สนทนากันกล่าวถึงผู้เสียหายทั้งสองมีพฤติกรรมในทางชู้สาวต่อกันที่โรงเรียนที่ผู้เสียหายทั้งสองทำการสอนอยู่จึงไม่มีเจตนาที่จะใส่ความผู้เสียหายทั้งสองให้ถูกดูหมิ่นเกลียดชังหรือเสียหาย แต่เป็นการกระทำในการแสดงข้อความโดยสุจริตด้วยความเป็นธรรมอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 329(3) จำเลยไม่มีความผิดดังที่โจทก์ฟ้องเมื่อได้วินิจฉัยเช่นนี้แล้ว ข้อฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้บันทึกเสียงด้วยตนเอง แต่มีบุคคลอื่นเป็นผู้บันทึกเสียงไว้โดยจำเลยไม่ทราบก็ดี และฎีกาที่ว่าเสียงที่พูดในแถบบันทึกเสียงไม่มีเสียงพูดของจำเลยก็ดี จำเลยจึงไม่ได้กระทำความผิดนั้น ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลงไป ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง เทปบันทึกเสียงของกลางไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำผิดหรือมีไว้เป็นความผิดจึงไม่ริบ